Friday, January 18, 2013

.. เล่าเฒ่าที่รู้ .. "สี่แผ่นดิน" ตอนที่ ๕

ท่าพระ , ประตูวัง
ธรรมเนียมห้ามเหยียบธรณีประตู

.. เมื่อแม่แช่มพาพลอยมาจากบ้านคลองบางหลวง เพื่อถวายตัวกับเสด็จนั้นโดยขึ้นเรือที่ท่าพระ .. ท่าเรือที่เรียกว่าท่าพระนั้น ปัจจุบันก็คือ " ท่าช้างวังหลวง " ชื่อทั้งสองมีที่มา คือชื่อท่าช้างวังหลวง มาจากบริเวณนี้เป็นท่าน้ำสำหรับช้างที่เลี้ยงในวังหลวง ข้างประตูพิมานไชยศรี ลงอาบน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา คู่กับ " ท่าช้างวังหน้า " ซึ่งเป็นท่าอาบน้ำของช้างที่เลี้ยงในวังหน้า

.. ส่วนที่เรียกว่าท่าพระ ก็สืบเนื่องมาจากการที่ท่าน้ำแห่งนี้เคยเป็นที่พักแพ "ประดิษฐานพระศรีศากยมุนี" ซึ่งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้โปรดให้อันเชิญมาจากพระวิหารหลวงวัดมหาธาตุ เมืองสุโขทัย เพื่อนำมาเป็นพระประธานในพระอุโบสถวัดสุทัศนเทพวราราม เมื่อ พ.ศ. ๒๓๕๑ ครั้นมาถึงกรุงเทพมหานคร แล้วโปรดให้พักแพที่ท่าน้ำแห่งนี้ ประกอบพระราชพิธีสมโภชพระพุทธรูปเป็นวลา ๗ วัน และยังมีเรื่องเล่ากันต่อมาว่าเมื่อสมโภชแล้วจะอัญเชิญขึ้นบกนั้นปรากฏว่าพระองค์ใหญ่กว่าประตูเมืองเข้าไม่ได้ ถึงกับต้องรื้อประตูเมือง จึงเป็นทั้งเรื่องและงานที่ยิ่งใหญ่เอิกเกริกจนเป็นที่จดจำ เรียกขานท่าน้ำแห่งนี้ว่าท่าพระ ต่อมาเมื่อเวลาผ่านไปนาน ผู้คนไม่รู้ที่มาของชื่อ เห็นแต่เป็นท่าที่ช้างวังหลวงลงอาบน้ำ จึงเรียกท่าช้างวังหลวงเป็นที่หมาย ส่วนคำว่าท่าพระปัจจุบันใช้เรียกท่าเรือฝั่งตรงข้ามกับท่าช้างวังหลวง

.. เมื่อขึ้นจากเรือที่ท่าพระ แม่แช่มพาพลอยเดินเลาะกำแพงวังเรื่อยมา ได้สักครู่จึงเลี้ยวเข้าประตูชั้นนอก ประตูที่แม่แช่มพาพลอยผ่านเข้ามานั้น เป็นประตูพระบรมมหาราชวังชั้นนอกและชั้นกลาง ชั้นนอกเป็นประตูในกำแพงที่อยู่ริมถนนมหาราช เรียกประตูช่องกุดเมื่อผ่านเข้ามาถึงลานกว้าง ซึ่งในสี่แผ่นดินบรรยายว่า "มีหาบขายของและของที่วางขายก็ดูมีมากมายเหลือขนาด" ลานกว้างนั้นคือถนนเขื่อนขันธ์นิเวศน์ ซึ่งเป็นถนนคั่นระหว่างกำแพงชั้นนอกและกำแพงชั้นกลางมีประตูตรงกับประตูช่องกุด คือ "ประตูศรีสุดาวงศ์" ทั้ง ๒ ประตูเป็นทางเข้าออกของผู้คนในพระราชสำนักฝ่ายใน จะเปิดเวลา ๐๖.๐๐ น. และปิดเวลา ๑๘.๐๐ น. เพราะฉะนั้นผู้ที่มีธุระจะต้องรีบออกไปทำธุระให้เสร็จภายในเวลาประตูวังปิด มิฉะนั้นจะต้องค้างอยู่นอกวัง หรือหากจะเข้าประตูอื่นก็จะต้องมีพิธีตรวจสอบยุ่งยากกว่าประตูนี้ ผู้คนที่เดินเข้าออกจึงมีลักษณะ "รีบร้อนดูสับสน"

.. ประตูศรีสุดาวงศ์ ซึ่งเป็นประตูเข้าสู่พระราชฐานชั้นใน มีลักษณะเป็นประตูบานใหญ่ ๒ บาน ซึ่งปกติจะปิดอยู่เสมอ ในบานใหญ่จะมีประตูบานเล็กสำหรับเปิดปิดให้คนข้าออกเป็นประจำ ด้วยเหตุที่มีประตูบานเล็กซ้อนอยู่ในประตูบานใหญ่ จึงทำให้มีธรณีประตูค่อนข้างหนาชาววังถือกันว่าประตูพระบรมมหาราชวังทุก ๆ แห่งมีเทวดารักษาอยู่ จึงไม่สมควรที่จะขึ้นไปเหยียบบนธรณีประตู เวลาเข้าออกให้เดินข้ามผ่านไป

.. หากผู้ใดไม่ทราบหรือพลั้งเผลอไเหยียบเข้า โขลนเฝ้าประตูจะดุว่า หรืออาจสั่งให้ลงกราบขอขมาธรณีประตูนั้น อย่างที่พลอยเกิดความประหม่าและกลัวจึงเผลอเหยียบธรณีประตู และโขลนเรียกให้มากราบขอขมาธรณีประตู

.. พลอยเข้าวังครั้งแรกก็พบกับเรื่ิงที่ทำให้ตกใจกลัวและรผู้จักกับคนที่เรีกยว่าโขลน เมื่อพลอยเหยียบธรณีประตู และได้ยินเสียวใครคนหนึ่วร้องราวกับฟ้าผ่าว่า " หยุด หยุดเดี๋ยวนี้ กลับมานี่ก่อน " เสียงนั้นคือเสียงพนักงานเฝ้าประตูที่เรียกว่า " โขลน "

.. โขลน เป็นพนักงานสังกัดกรมโขลน ซึ่งมีมาตั้งแต่สมัยอยุธยาสืบต่อมาจนถึงรัตนโกสินทร์ ทำหน้าที่คล้ายตำรวจนครบาลของพระราชสำนักฝ่ายหน้า กรมโขลนสังกัดกระทรวงวัง มีการบังคับบัญชาตามลำดับชั้นต้นตั้งแต่นายซึ่งเป็นชั้นต่ำสุดแล้วจึงถึงจ่า ชั้นสูงสุดคือ หลวงแม่เจ้า ทั้งหมดมีอธิบดีกรมโขลนเป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรง อธิบดีกรมโขลนในรัชสมัยพระบามสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว คือ " พระองค์เจ้านภาพรประภา กรมหลวงทิพยรัตนกิริฎกุลินี " เรียกกันว่า เสด็จอธิบดี ที่ทำการหรือกองรักษาการกรมโขลนอยู่ชั้นล่างของพระที่นั่งนิพัทธพงศ์ถาวรวิจิตร เรียกว่าศาลากรมโขลน เครื่องแบบพนักงานโขลนที่ใช้กันทั่วไปคือ นุ่งผ้าพื้นโจงกระเบนสีน้ำเงินกรมท่า สวมเสื้อขาวคอกลมผ่าอกกระดุม ๕ เม็ด แขนกระบอกยาวจรดข้อมือ มีผ้าห่มสี่เหลี่ยมผืนผ้าสีขาวอีกผืนหนึ่งห่มเป็นสไบเฉลียงไหล่ซ้าย หนาที่สำคัญของกรมโขลนก็คือ ดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยความปลอดภัย และกวนขันให้ทุกคนปฏิบัติตามขนบประเพณีที่อยู่ในขอบเขตของกฎมณเฑียรบาล

.. แม้พนักงานโขลนจะจัดเป็นชาววังชั้นต่ำสุดจากการแบ่งกลุ่มชาววังเป็น ๓ กลุ่ม คือ
.. กลุ่มชั้นสูง ได้แก่ เจ้านาย และ พระบรมวงศานุวงศ์
.. กลุ่มชั้นกลาง ได้แก่ บุตรหลานเสนาบดี หรือคหบดีที่ถวายตัวกับเจ้านายตำหนักต่าง ๆ
.. กลุ่มชั้นต่ำ ได้แก่ ข้าทาสบริวารที่ต้องใช้แรงงานรวมทั้งโขลนด้วย แต่เพราะหน้าที่รักษากฏระเบียบธรรมเนียมวังของโขลนนั้นทำให้โขลนมีอำนาจในการว่ากล่าวคนทำผิดหรือพลั้งเผลอืำผิดขนบประเพณีวัง ซึ่งโขลนจะใช้วิธีว่ากล่าว อบรมสั่งสอนต่อหน้่าธารกำนัล ทำให้ได้รับความอับาย ชาววังจึงกลัวเกรงโขลน ไม่อยากมีเรื่องราวกับโขลนอย่างที่แม่แช่มกระซิมสั่งสอนพลอยว่า
"พลอยจะอยู่ในวังต่อไปจำไว้ให้ดี อย่าไปเกิดเรื่องกับโขลน แกด่ายับเลยทีเดียว เราสู้เขาไม่ได้หรอก" ...?



ปล. ความหมายของรูปภาพต่าง ๆ ที่นำมาแสดงเรื่องจริงของจริง "สี่แผ่นดิน" เล่าเฒ่าที่รู้ ตอนที่ ๕ โดย.. ลุงใหญ่
๑. ท่าช้างวังหลวง หรือที่เรียกว่า ท่าพระ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เป็นบริเวณประตูเมืองที่นำช้างซึ่งเลี้ยงไว้ในพระบรมมหาราชวัง หรือพระราชวังหลวง ลงอาบน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา จึงเรียกกันว่า "ท่าช้างวังหลวง" ต่อมาใน พ.ศ. 2351 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระศรีศากยมุนีจากสุโขทัยมาทางแพเพื่อมาประดิษฐานที่วัดสุทัศนเทพวราราม และพักแพที่ท่าช้างวังหลวงเพื่อประกอบพระราชพิธีสมโภชเป็นเวลา 3 วัน แต่พระพุทธรูปไม่สามารถผ่านประตูเมืองบริเวณนี้ได้ จึงโปรดเกล้าฯ ให้รื้อประตูและกำแพงบางส่วนออก แล้วสร้างประตูใหม่พระราชทานนามว่า "ประตูท่าพระ" แต่ประชาชนยังคงนิยมเรียกกันว่า ท่าช้าง หรือท่าช้างวังหลวง ปัจจุบันเป็นท่าเรือข้ามฟากซึ่งเอกชนได้เช่าจากกรุงเทพมหานครมาดำเนินการ ส่วนท่าพระปัจจุบันใช้เรียกท่าเรือบริเวณใกล้เคียงท่าช้างวังหลวง และยังเป็นชื่อวังท่าพระที่ตั้งอยู่บริเวณท่าช้างวังหลวงซึ่งเป็นที่ประทับของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ปัจจุบันคือมหาวิทยาลัยศิลปากร

๒. ประตูศรีสุดาวงศ์ ประตูทางเข้าออกของผู้คนในพระราชสำนักฝ่ายใน การเข้าออกมีโขลนประตูเป็นผู้หญิง ดุมาก เฝ้าอยู่
พระสนม ออกลูกเป็นชาย ก็อยู่ด้วยกัน พอโสกันต์แล้วค่อยออกไปอยู่ข้างนอกครับ ญาติพี่น้องชาย ขออนุญาตเข้าได้ตอนกลางวัน ห้ามค้างคืน เมื่อก่อนพระสงฆ์เข้ารับบาตรได้ แต่หลังจากเกิดกรณีพระองค์เจ้ายิ่งเยาวลักษณ์ ก็ให้ผ้าแดง นับองค์กันให้แน่ใจว่า เข้าแล้วออกครบ ข้าราชการชาย มีหมายอนุญาตเข้าได้ ห้ามค้างคืนเด็ดขาด นางในไปไหนต้องมีผ้าหรือฉากกั้น และเดินคนละทางกับมหาดเล็ก เพราะเหตุนี้ในพระราชฐานชั้นใน
ประตูศรีสุดาวงศ์ หรือ ประตูดิน (เนื่องจากมีจอมปลวกอยู่ใกล้ๆ) เป็นประตูสำหรับสตรีชาววังที่มิใช่เจ้านาย มักจะมีชายหนุ่มเข้ามาแอบดู และเกี้ยวพาราณสีสาวชาววัง จนเป็นที่มาของสำนวน "เจ้าชู้ประตูดิน"

๓. กรมโขลน บทบาทและหน้าที่ของโขลนในสมัยก่อน ( ตำรวจวังที่เป็นหญิงล้วน )
โขลนเป็นผู้ตรวจตรารักษาถนนหนทาง ดูแลเรื่องความสะอาด ดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยไม่ให้มีการทะเลาะวิวาทกัน ในเขตพระราชฐานชั้นใน ความรับผิดชอบของโขลนมีมากขึ้นในปี พ.ศ. 2440 เมื่อให้มีการจัดขึ้นเป็น กรมโขลน ดังที่กล่าวไปบ้างแล้ว ดังจะเห็นได้จาก พระบรมราชโองการเกี่ยวกับการตั้งกรมโขลนและหน้าที่ของกรมโขลน ตอนหนึ่งว่า
" ทรงพระกรุณาโปรดให้จัดโขลนเปนธรรมเนียมคล้ายโปลิดให้รักษาถนนในพระบรมมหาราชวังทุกถนนทุกทางให้จัดแบ่งเขตรแดน แต่รายกำลังโปลิดจะรักษาได้ แล้วให้มีนายกำกับคนหนึ่ง สำหรับว่ากล่าว ว่ากล่าวโปลิดตลอดทุก ๆ ถนน แลจะพระราชทานเงินเดือนให้โปลิดพอเป็นเบี้ยเลี้ยง ตามผู้ได้รับราชการมากแลน้อย....ให้ผู้รับราชการในพระบรมมหาราชวังจัดเกวียนเล็ก ๆ สำหรับรับหยากเยื่อฝุ่นฝอยใบไม้ ใบตองของที่เปื้อนและเครื่องโสโครกทั้งปวงให้หญิงมหันตโทษเขนมาในพระบรมมหาราชวังเวลาเช้าให้โขลนพนักงานที่รับเครื่องรกเปื้อนบนเรือนของตัวลงมาในเกวียนซึ่งลากไปนั้น ถ้าเปนน้ำกระโถนก็ดี ฤาน้ำอื่น ๆ ซึ่งเป็นของโสโครกห้ามมิให้เทลงในเกวียนหยักเยื่อฝุ่นฝอย จะให้มีเกวียนถังไปรับต่างหาก ห้ามมิให้เทหยากเยื่อ หน้าที่ของตัว...ให้โปลิดระวังอย่าให้เกิดการทะเลาะชกตีกันในวัง ห้ามชาววัง ห้ามโปลิดกล่าวคำหยาบ "
จากพระบรมราชโองการข้างต้นทำให้เห็นภาพของโขลนในสมัยนั้น นอกจากว่า โขลนต้องทำหน้าที่เหมือนตำรวจแล้ว ยังมีอีกหน้าที่หนึ่งที่ต้องอำนวยความสะดวกในเส้นทางที่มีเสด็จพระราชดำเนินผ่าน เช่น ร้องห้ามให้คนหยุด เป็นสัณญาณว่ามีการเสด็จพระราชดำเนินผ่านที่นั้น ผู้คนทั้งปวงจะต้องหลบหลีกเปิดเส้นทางให้พร้อมกับหมอบลง หรือทำหน้าที่ปิด - เปิดประตู ให้เจ้านายเสด็จผ่าน

๔. พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้านภาพรประภา กรมหลวงทิพยรัตนกิริฎกุลินี (13 พฤษภาคม พ.ศ. 2407 - 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2501) หรือที่ถวายเรียกกันว่า เสด็จอธิบดี อธิบดีหญิงคนแรกของประเทศไทย พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้านภาพรประภา กรมหลวงทิพยรัตนกิริฎกุลินี เป็นพระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวประสูติแต่เจ้าคุณจอมมารดาสำลี เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2407 พระองค์มีพระเชษฐาและพระภคินีรวม 4 พระองค์ ได้แก่ พระองค์เจ้าชายแดง พระองค์เจ้าหญิงเขียว พระองค์เจ้าบุษบงเบิกบาน และพระองค์เจ้าสุขุมาลมารศรี ในสมัยที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จประพาสทวีปยุโรป และสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถ ได้ทรงสำเร็จราชการแผ่นดิน พระองค์เจ้าหญิงนภาพรประภานี้ได้ทรงรับราชการเป็น "เสด็จอธิบดี" ทรงว่ากล่าวควบคุมความเรียบร้อยและความเป็นไปทุกอย่างในพระบรมมหาราชวัง ร่ำลือกันว่าผู้คนนั้นเกรงกลัว "เสด็จอธิบดี" เสียยิ่งกว่า "สมเด็จรีเยนท์" (สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถ) เสียอีก
ในฐานะที่เป็นพระน้องนางร่วมพระชนนีกับ "เสด็จพระนาง" (สมเด็จพระปิตุจฉาเจ้าสุขุมาลมารศรี พระอัครราชเทวี ขณะนั้นทรงดำรงพระอิสริยยศเป็น พระนางเจ้าสุขุมาลมารศรี พระราชเทวี) พระองค์เจ้าหญิงนภาพรประภาจึงประทับอยู่ในตำหนักเดียวกัน พร้อมกับพระมารดาคือเจ้าคุณจอมมารดาสำลีในรัชกาลที่ 5 สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าสุทธาทิพยรัตน์ กรมหลวงศรีรัตนโกสินทร และสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต นอกจากนี้ยังทรงสนิทสนมกับสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า และสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถอีกด้วยในฐานะที่ทรงเป็น "พระเจ้าลูกเธอชั้นเล็ก" เช่นกัน โดยเฉพาะกับสมเด็จพระศรีพัชรินทราฯ นั้นนอกจากจะทรงวิสาสะกันในฐานะพระพี่พระน้องแล้ว ยังทรงรับผิดชอบบริหารงานราชการฝ่ายในร่วมกัน และได้ทรงเลี้ยงดูพระราชโอรสพระองค์หนึ่งในสมเด็จพระศรีพัชรินทรา (ซึ่งก็นับว่าเป็นพระราชภาติยะของพระองค์ทั้งสองฝ่าย) คือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธ กรมหลวงนครราชสีมา ถึงขนาด "ทูลกระหม่อมติ๋ว" รับสั่งว่า "หากไม่ติดเกรงพระทัยทูลกระหม่อมชาย อยากจะทูลเชิญเสด็จน้ามาประทับอยู่ด้วยกัน"ในสมัยรัชกาลที่ 7 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมสถาปนาพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้านภาพรประภาขึ้นเป็นพระองค์เจ้าต่างกรม มีพระนามตามจารึกในพระสุพรรณบัฏว่า พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงทิพยรัตนกิริฎกุลินี พระองค์นับเป็นพระราชธิดาในรัชกาลที่ 4 เพียง 1 ใน 4 พระองค์ที่ได้ทรงกรม และเป็นเพียง 1 ใน 2 พระองค์ที่ทรงกรมขณะมีพระชนม์ชีพ และพระองค์เดียวที่ได้รับการสถาปนาในรัชกาลที่ 7เจ้ากรมพระอาลักษณ์นั้น สามารถคิดพระนามกรมของพระเจ้าลูกเธอชั้น 4 ให้คล้องจองกันได้อย่างน่าอัศจรรย์ ดังเช่นเสด็จอธิบดีนั้น มิมีผู้ใดคาดว่าจะได้ทรงกรม แต่เมื่อทรงกรมแล้วอาลักษณ์ก็สามารถคิดพระนามกรมให้เรียงกันได้ดังนี้ ... นริศรานุวัดติวงศ์ - มรุพงศ์สิริพัฒน์ - ทิพยรัตนกิริฎกุลินี - สวัสดิวัดนวิศิษฎ์ - มหิศรราชหฤทัย...
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงทิพยรัตนกิริฏกุลินีทรงเคยกราบบังคมทูลลาออกจากราชการ แต่รัชกาลที่ 7 ไม่ทรงพระอนุญาต จึงทรงรับราชการเรื่อยมาจนถึงการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พระองค์จึงได้เสด็จลี้ภัยตามสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ไปประทับที่เมืองบันดุง ประเทศอินโดนีเซียในระหว่างที่ประทับรถไฟ ทรงคิดได้ว่าที่เมืองบันดุงจะหาหมากเสวยได้ยากลำบาก หากยังจะเสวยหมากอยู่อีกจะเป็นภาระและยุ่งยากนัก ด้วยความเด็ดเดี่ยวในพระทัย จึงทรงโยนเชี่ยนหมากทิ้งตรงชายแดนไทย-มาเลเซีย นับแต่นั้นมา ก็ไม่ทรงเสวยหมากอีกเลย แม้เมื่อเหตุการณ์สงบและเสด็จกลับมาเมืองไทยและประทับที่วังสวนผักกาดแล้วก็ตาม เมื่อมีพระชันษาสูงขึ้น รัชกาลที่ 9 ทรงมีรับสั่งให้สร้างตำหนักเล็กอยู่ที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์เพื่อเสด็จอธิบดีจะได้ไปประทับและไปประทับอยู่ที่นั้นตราบสิ้นพระชนม์เมื่องานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ในรัชกาลที่ 9 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงทิพยรัตนกิริฏกุลินี ในฐานะที่ทรงเป็นพระราชวงศ์ฝ่ายในที่มีพระชนม์มากที่สุด จึงทรงร่วมกับพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประดิษฐาสารีเป็นผู้ลาดพระที่ในคราวนั้นด้วย พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้านภาพรประภากรมหลวงทิพยรัตนกิริฎกุลินี สิ้นพระชนม์เมื่อปี 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2501 พระชันษา 94 ปี อธิบดีหญิงพระองค์แรกของไทย


เรื่องจริงของจริงใน "สี่แผ่นดิน" ตอนที่ ๕

โดย.. ลุงใหญ่
๑๘ มกราคม ๒๕๕๖

** เนื้อหาสาระของความคิดนั้น จะผิด ถูก ตรง ไม่ตรง
ดี ไม่ดี อย่างไร ก็เป็นเรื่องของความคิด

และขึ้นอยู่ที่ผู้อ่านว่าจะตัดสินอย่างไร เป็นสิทธิส่วนบุคคล

ลุงใหญ่ บันทึกไว้เพื่อกันลืมเท่านั้น 
มิได้ตั้งใจจะสอนอะไรกับใครๆ ทั้งสิ้นครับ **







No comments:

Post a Comment