Thursday, January 10, 2013

.. เล่าเฒ่าที่รู้ .. "สี่แผ่นดิน" ตอนที่ ๔

"วังหลวง"
.. พลอยมีโอกาสได้เห็นวังหลวงครั้งแรก เมื่อแม่แช่มพาพลอยจากบ้านฟากข้างโน้นมาเพื่อถวายตัวกับเสด็จ แม่แช่มอธิบายคำว่า "วังหลวง" ให้พลอยให้ฟังว่า

"วังหลวงก็เป็นของพระเจ้าอยู่หัวท่านซีลูก ที่พลอยเห็นนั่นแหละ เป็นที่ประทับของท่านทั้งนั้น เสด็จและเจ้านายอื่นๆ ท่านมีตำหนักอยู่ข้างใน"

.. วังหลวงที่แม่แช่มพูดถึงก็คือ พระบรมมหาราชวังอาณาเขตกว้างขวางในพระบรมมหาราชวังแบ่งออกเป็น ๔ ส่วน คือ
๑. ส่วนที่เป็นพระราชฐานชั้นนอก อยู่รอบนอกกำแพงชั้นในของพระบรมมหาราชวัง
๒. ส่วนที่เป็นพระราชฐานชั้นกลาง
๓. ส่วนที่เป็นพระราชฐานชั้นใน
๔. ส่วนที่เป็นวัดพีะศรีรัตนศาสดาราม
.. สถานที่ที่แม่แช่มจะพาพลอยเข้าไปนั้น คือ ส่วนที่เป็น "พระราชฐานชั้นใน" ถือเป็นที่ "รโหฐานส่วนพระองค์ของพระมหากษัตริย์" เพราะเป็นที่ประทับและที่อยู่ของพระมเหสีเทวี เจ้าจอมมารดา เจ้าจอม ตลอดจนเหล่าข้าราชบริพาร พนักงานซึ่งล้วนเป็นสตรีทั้งสิ้น..

.. ส่วนประกอบสำคัญในเขตพระราชชั้นใน คือ พระตำหนักที่ประทับของเจ้านาย ซึ่งมีทั้งขนาดเล็กขนาดใหญ่ ทั้งเก่าและใหม่
พระตำหนักที่เก่าที่สุดที่คงเหลืออยู่ คือ พระตำหนักที่สร้างขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
ลักษณะสำคัญเป็นตำหนักตึกชันเดียว เตี้ยและหนาทึบคล้ายกุฏิวัดในสมัยโบราณ ส่วนพระตำหนักอื่นๆ ได้รับการบรูณปฏิสังขรณ์และสร้างขึ้นใหม่บ้าง เพราะจำนวนผู้คนที่เพิ่มขึ้นทุกรัชกาล ลักษณะของพระตำหนักก็เปลี่ยนไป เช่นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ลักษณะพระตำหนักจะมีส่วนผสมของศิลปะตะวันตกบ้าง คือเป็นอาคารก่ออิฐถือปูน ๒ ชั้น ดูสง่างามด้วยเสาสูง แลดูโปร่งสบายขึ้นด้วยระเบียงด้านหน้า แต่ยังคงไม่ทิ้งลักษณะหนาหนักและมั่นคง พระตำหนักที่ทันสมัยที่สุด ก็คือ
พระตำหนักที่สร้างใหม่ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

.. พลอยสังเกตเห็นความแตกต่างทั้งลักษณะและขนาดของพระตำหนักต่างๆ ทั้งนี้เกิดจากฐานะขององค์เจ้าของตำหนักซึ่งแตกต่างกันนอกจากฐานะทางพระอิสริยยศแล้ว ยังเนื่องมาจากการผ่านพ้นรัชสมัยขิงแต่ละพระองค์ เช่น เมื่อครั้งยังทรงอยู่ในพระอิสริยยศเป็นพระเจ้าลูกเธอ พระมเหสีเทวี เจ้าจอมมารดา และเจ้าจอม ชีวิตก็จะรุ่งเรืองเฟื่องฟูแต่เมื่ิอสิ้นรัชสมัย ฐานะก็เปลี่ยนแปลง เป็นพระพี่นางเธอ พระน้องนงเธอ พระเจ้าหลานเธอบ้าง ความรุ่งเรืองเฟื่องฟูก็จะตกอยู่กับสตรีอีกกลุ่มหนึ่งที่เกี่ยวข้องใกล้ชิดกับองค์พระมหากษัตริย์โดยตรง สิ่งที่แสดงฐานะได้อย่างชัดเจนก็น่าจะเป็นพระตำหนักที่ประทับ หรือเรือนพักอาศัยซึ่งมักเก่าแก่ทรุดโทรมกว่ากลุ่มสตรีที่อยู่ในรัชสมัย และกำลังเฟื่องฟูเป็นที่โปรดปราน

.. เมื่อพลอยเข้าไปอยู่ในวังนั้น น่าจะเป็นตอนกลางรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจาอยู่หัว ในรัชสมัยนี้มีการปลูกสร้างพระตำหนักใหม่หลายองค์ ลักษณะสำคัญคือ เป็นสถาปัตยกรรมแบบยุโรป มีทั้งอิตาลี เยอรมนี และอังกฤษ ตำหนักที่มีลักษณะเด่นตำหนักหนึ่งคือ "ตำหนักพระราชชายาเจ้าดารารัศมี" คือเป็นอาคารก่ออิฐฉาบปูนสูง ๓ ชั้น ศิลปะผสมผสานระหว่างอิตาลีเรอเนสซองส์ และมีส่วนประกอบบางอย่างเป็นศิลปะตะวันออก เช่น หลังคาซึ่งเป็นแบบปั้นหยาวัสดุมุงหลังคาเป็นกระเบื้องดินเผาไม่เคลือบลวดลายตกแต่งก็เป็นศิลปะผสมระหว่างตะวันตกและตวันออกอย่างลงตัว และที่ว่าตำหนักพระราชชายาเจ้าดารารัศมี มีความแตกต่างจากตำหนักอื่นๆ เช่น ข้าหลวงนุ่งซิ่น ไว้ผมมวย แต่งกายอย่างชาวเมืองเชียงใหม่ ก็เนื่องมาแต่พระราชชายาเป็นธิดาของพระเจ้าอินทวิชยานนท์ เจ้านครเชียงใหม่ ถวายตัวเข้ารับราชการฝ่ายในเมื่อพระชันษาได้ ๑๔ ปี แม้เจ้านครเชียงใหม่จะอยู่ในฐานะเจ้าประเทศราช แต่ทรงมีรายได้จากการให้สัมปทานป่าไม้เป็นจำนวนมหาศาล เมื่อธิดาเข้ามาอยู่ในพระบรมมหาราชวัง ก็ทรงห่วงใยในความแปลกสถานที่ จึงมักส่งสิ่งต่างๆ อันเป็นเครื่องอำนวยความสุขตามที่พระธิดาเคยชินในบ้านเกิดเมืองนอนเข้ามาถวายเนืองๆ ทั้งข้าวขิงเครื่องใช้ อาหารการกิน ไม่เว้นแม้แต่ผู้คนข้าราชบริพาร ก็ทรงส่งมาถวายเพื่อการรับใช้ ตำหนักนี้จึงเสมืิอนเมืองเชียงใหม่เล็กๆ ในพระบรมมหาราชวัง ...?


ปล. ปัจจุบัน "วังหลวง" คือ กรุงเทพมหานคร นั้นเอง
กรุงเทพมหานคร อมรรัตนโกสินทร์ มหินทรายุธยา มหาดิลกภพ นพรัตน์ราชธานีบุรีรมย์ อุดมราชนิเวศน์มหาสถาน
อมรพิมานอวตารสถิต สักกะทัตติยวิษณุกรรมประสิทธิ์...
พระนครอันกว้างใหญ่ดุจเทพนคร
เป็นที่ที่สถิตของพระแก้วมรกต
เป็นมหานครที่ไม่มีใครรบชนะได้
มีความงามอันมั่นคงและเจริญยิ่ง
เป็นเมืองหลวงที่บริบูรณ์ด้วยแก้วเก้าประการ น่ารื่นรมย์ยิ่ง
มีพระราชนิเวศน์ใหญ่โตมากมาย
เป็นวิมานเทพที่ประทับของพระราชาผู้อวตารลงมา
ซึ่ง "ท้าวสักกเทวราช"(พระอินทร์)พระราชทานให้พระวิษณุกรรมลงมาเนรมิตไว้ .....?


เรื่องจริงของจริงใน "สี่แผ่นดิน" ตอนที่ ๔


โดย.. ลุงใหญ่
๑๑ มกราคม ๒๕๕๖

** เนื้อหาสาระของความคิดนั้น จะผิด ถูก ตรง ไม่ตรง
ดี ไม่ดี อย่างไร ก็เป็นเรื่องของความคิด

และขึ้นอยู่ที่ผู้อ่านว่าจะตัดสินอย่างไร เป็นสิทธิส่วนบุคคล

ลุงใหญ่ บันทึกไว้เพื่อกันลืมเท่านั้น 
มิได้ตั้งใจจะสอนอะไรกับใครๆ ทั้งสิ้นครับ **



No comments:

Post a Comment