มะปรางริ้ว
.. ชีวิตของแม่พลอยที่ตำหนักของสมเด็จนั้นดำเนินไปเรื่อยๆ นอกจากจะทำหน้าที่ประจำแล้ว พลอยยังต้องหัดและเรียนรู้งานฝีมือต่างๆ "...คุณสายหัดให้พลอยปอกมะปรางริ้ว ซึ่งต้องลงทุนไปด้วยมะปรางเป็นอันมาก และแผลที่นิ้วมือของพลอยหลายแผล..."
.. การปอกมะปรางริ้วเป็นงานฝีมือชั้นยอดของชาววังอย่างหนึ่ง เพราะการปอกมะปรางซึ่งเป็นผลไม้ลูกไม่ใหญ่นัก เนื้อนิ่ม ช้ำง่ายนั้น แม้จะปอกแบบเกลี้ยงๆ ธรรมดาก็แสนยาก แต่ชาววังมีความสามารถที่จะปอกมะปรางให้เป็นริ้วและลายต่างๆ เช่น ลายเกล็ดเต่า ลายเกลียว และลายคดกริชขวาง ได้อย่างงดงาม
.. การปอกมะปรางริ้วต้องใช้คุณสมบัติหลายอย่าง เช่น ความนุ่มนวล คือ ต้องมือเบา มีความตั้งใจมานะอดทนพยายยามและสมาธิมั่นคง เริ่มจากการเลือกมะปราง ซึ่งมีหลายชนิด เช่น มะยง มัยงชิด และ กาวาง มะยงชิดมีลูกโตรสหวานสีสวย กาวางเนื้อหนาปอกง่าย แต่มีรสเปรี้ยว
.. อุปกรณ์ที่ใช้ คือ มีดปอกและมีดคว้านซึ่งต้องคมกริบ มีผ้่ขาวสำหรับเช็ดมีดบ่อยๆ เพื่อมิให้ยางมะปรางจับมีดเพราะจะทำให้มีดฝืด
วิธีการปอกมะปราง ใช้มือซ้าย ๔ นิ้ว จับที่ลูกมะปราง และ ใช้มือขวาจับมีด นิ้วหัวแม่มือซ้ายคอยยังคับให้คมมีดอยู่ตามรอย นิ้วชี้ขวาวกดเป็นการกำหนดริ้ว การลงมีดให้ตะแคงค่อยๆ ให้มีดกินเปลือกทีละน้อยเดินไปตามรอยที่กำหนดเพื่อให้ได้ริ้วตามที่ต้องการ เมื่อปอกเป็นริ้วรอบผลแล้ววางในจานมีผ้าขาวชุบน้ำคลุมไว้จนได้จำนวนที่ต้องการ ใช้มีดตัดส่วนหัวและใช้มีดคว้านจากหัวที่ตัดนั้นให้รอบแล้วดึงเม็ดออก โดยให้มะปรางคงรูปเดิมและเนื้อไม่ช้ำ เสร็จแล้วมะปรางมีรสหวานก็นำไปล้างด้วยน้ำดอกไม้สด หากมีรสเปรี้ยวก็นำไปชุบน้ำเชื่อมผสมเกลือเล็กน้อย เพื่อให้ผิวของมะปรางขึ้นเงาเห็นร่องลายชัดเจน ต่อจากนั้นจึงจัดวางในจานแก้ว แลวนำไปแช่ในตู้น้ำแข็ง
.. การปอกมะปรางริ้วยากเย็นและยุ่งยากดังกล่าว จึงถือเป็นหลักสูตรสำคัญของชาววัง หากสตรีคนใดผ่านหลักสูตรการปกครองมะปรางริ้วได้งดงามสมบูรณ์แบบ ก็เท่ากับเพื่มคุณค่าแห่งความเป็นกุลสตรี
ปล. ความหมายของรูปภาพต่างๆ ที่นำมาแสดงเรื่องจริงของจริง "สี่แผ่นดิน" เล่าเฒ่าที่รู้ ตอนที่ ๗ โดย.. ลุงใหญ่ "มะปรางริ้ว"
.. การปอกมะปรางริ้ว ..
หมากปรางนางปอกแล้ว .. ใส่โถแก้วแพรวพรายแสง
ยามชื่นรื่นโรยแรง .. ปรางอิ่มอาบซาบนาสา
กาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวาน พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 2
เหตุที่ มะปรางริ้ว ถูกจัดให้เป็น 1 ใน 4 สุดยอดฝีมือเพราะมะปรางเป็นผลไม้ที่มีผิวบาง เนื้อนิ่ม ยางเยอะ การปอกให้ได้ริ้วสวยจึงต้องประณีตทุกขั้นตอน เวลาปอกมะปรางริ้วมีเคล็ดสำคัญดังนี้
1. เลือกมะปรางที่ไม่สุกและไม่ห่ามเกินไป สำคัญคือต้องไม่ช้ำแม้แต่น้อย
2. มีดต้องคมมากๆ เท่าที่เห็นผู้ใหญ่ท่านจะใช้มีดทองเนื่องจากปอกแล้วผลไม้ไม่ดำ เวลาปอกต้องเอามีดจุ่มน้ำแล้วลับกับไหมหรือแพรที่ปูบนตัก เพื่อไม่ให้มะปรางติดยางดำ และเดินมีดได้สนิท สามารถกรีดริ้วต่างๆได้สวยงาม นอกจากมีดทองที่ใช้ปอกแล้วยังมีมีดคว้านเมล็ดที่ปลายแหลมเล็กและคมมากกว่ามีดคว้านทั่วไป แต่ปัจจุบันไม่เห็นแล้ว ชุดมีดของผู้ใหญ่แต่ละท่านจะเป็นของเฉพาะตัว มีการสั่งทำเฉพาะ เมื่อสิ้นบุญจึงเป็นมรดกให้ลูกหลาน
การปอกมะปรางริ้ว มือขวาจะถือมีดนิ่งๆ หันคมไปทางขวา ส่วนมือซ้ายจะถือมะปรางแล้วค่อยๆหมุนข้อมือให้มะปรางผ่านคมมีดเป็นลายต่างๆโดยขยับมะปรางน้อยที่สุด
3. น้ำล้างผลมะปรางที่ปอกแล้วควรใช้น้ำลอยดอกไม้สดผสมเกลือนิดหนึ่งจะดีกว่าน้ำเปล่าธรรมดา
4. ล้างแล้วคลุมด้วยผ้าขาวบางชุบน้ำเพื่อกันไม่ให้ผลมะปรางแห้ง เมื่อได้มะปรางตามจำนวนที่ต้องการ นำไปชุบน้ำเชื่อมเข้มข้นเพื่อให้เห็นริ้วชัดสวย แล้วจัดเรียงในโถแก้วประดับดอกมะลิหอม
เรื่องจริงของจริงใน "สี่แผ่นดิน" ตอนที่ ๗
โดย.. ลุงใหญ่
๓๐ มกราคม ๒๕๕๖
** เนื้อหาสาระของความคิดนั้น จะผิด ถูก ตรง ไม่ตรง
ดี ไม่ดี อย่างไร ก็เป็นเรื่องของความคิด
และขึ้นอยู่ที่ผู้อ่านว่าจะตัดสินอย่างไร เป็นสิทธิส่วนบุคคล
ลุงใหญ่ บันทึกไว้เพื่อกันลืมเท่านั้น
มิได้ตั้งใจจะสอนอะไรกับใครๆ ทั้งสิ้นครับ **
Wednesday, January 30, 2013
Saturday, January 19, 2013
.. เล่าเฒ่าที่รู้ .. "สี่แผ่นดิน" ตอนที่ ๖
แถวเต๊ง
.. เมื่อผ่านเข้าประตูศรีสุดาวงศ์ มาระยะหนึ่งพลอยสังเกตเห็นอาคารริมทางเดินเป็นตึกแถว ๒ ชั้น ยาวติดต่อกันแบ่งเป็นห้อง ๆ เมื่อพลอยถามแม่แช่มถึงตึกที่ว่านี้ แม่แช่มก็ตอบสัน ๆ ว่า "แถวเต๊ง"
.. อาคารที่เรียกว่า "แถวเต๊ง" นี้เป็นที่อยู่ของพนักงานที่ทำหน้าที่ต่าง ๆ ภายในเขตพระราชสำนักฝ่ายใน สมัยรัตนโกสินทร์ สร้างเป็นอาคารแถวทิมชันเดียวก่ออิฐถือปูน ยังไม่เรียกว่า "แถวเต๊ง" ครั้นถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้ปรับปรุงใหม่เปลี่ยนเป็นอาคาร ๒ ชั้น ชั้นล่างเป็นตึก ชั้นบนเป็นไม้ หลังคามุงกระเบื้องดินเผา แบ่งส่วนเป็นห้อง ๆ ด้วยฝาไม้ มีระเบียงโปร่งด้านหน้า ชาววังเรียกอาคารลักษณะนี้ว่า "แถวเต๊ง" สันนิษฐานว่า น่าจะเพี้ยนมาจากการเรียกของช่างชาวจีนที่เรียก
เรือน ๒ ชั้นนี้ว่า "เล่าเต๊ง"
.. แถวเต๊งในพระราชสำนักฝ่ายใน มีทั้งหมด ๕ แถว คือ แถวเต๊งด้านทิศตะวันตก และแถวเต๊งด้าทิศตะวันออก แถวเต๊ง ๒ แถวนี้ พระบามสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้เปลี่ยนแปลงจากอาคารแถวทิมชั้นเดียว เต๊งแถวท่อ เต๊งแดง และเต๊งแถวนอก
ทั้ง ๓ เต๊งนี้ เป็นเต๊งสร้างขึ้นใหม่ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว อยู่ด้านทิศใต้ของพระบรมมหาราชวัง
ที่เรียกเต๊งแถวท่อเพราะสร้างขึ้นตามแนวท่อที่ชักน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยาเข้ามาใช้ในพระบรมมหาราชวัง และที่เรียกว่าเต๊งแดง
ก็เพราะทาด้วยสีแดง ส่วนเต๊งแถวนอก เป็นเต๊งที่อยู่ระหว่างเต๊งแถวท่อและเต๊งแดง เต๊งทั้งหมดรวมเรียกว่า "แถวเต๊ง"
.. ภาพโดยรวมแล้ว แถงเต๊งจึงเป็นอาคารสูง ๒ ชั้น โอบล้อมพระราชสำนักฝ่ายในอยู่ทั้งด้านทิศตะวันออก ทิศตะวันตก และทิศใต้ แถวเต๊งเป็นที่อยู่ของพนักงานหน้าที่ต่าง ๆ ซึ่งมีจำนวนเพิ่มขึ้นทุกรัชกาล จึงเป็นสถานที่ที่มีผู้คนอาศัยอยู่อย่างแออัดคับคั่ง ดังที่ผู้ประพันธ์บรรยายบรรยากาศแถวเต๊ง โดยผ่านความนึกคิดของพลอยว่า "ตามแถวเต๊งนั้นมีคนอยู่เต็มไปหมดไม่มีที่ว่าง"
ปล. ความหมายของรูปภาพ "แถวเต๊ง" ที่นำมาแสดงเรื่องจริงของจริง "สี่แผ่นดิน" เล่าเฒ่าที่รู้ ตอนที่ ๖ โดย.. ลุงใหญ่
.. แถวเต๊ง เดิมเป็นอาคารแถวทิมชั้นเดียวตั้งอยู่ขอบเขตพระราชฐานชั้นในทั้งด้านทิศตะวันออก ทิศตะวันตก และทิศใต้ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเพื่อกั้นเขตพระราชฐานชั้นในกับพระราชฐานชั้นนอกด้านทิศใต้ และใช้เป็นที่อยู่ของผู้ปฏิบัติงานในเขตพระราชฐานชั้นใน เช่นข้าหลวง คุณพนักงาน คุณห้องเครื่อง คุณเฒ่าแก่ ฯลฯ แถวเต๊งในพระราชฐานชั้นในมีสามแถวดังนี้
.. แถวเต๊งนอกในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้ปรับปรุงแถวเต๊งท่อและเต๊งด้านกลาง นอกจากนี้ยังโปรดเกล้าฯ ให้สร้างแต๊งแถวนอกดังกล่าวนี้ขึ้นใหม่ ทางทิศใต้ของเขตพระราชฐานชั้นใน ลักษณะแถวเต๊งนอกเป็นอาคารก่ออิฐปูนสูงสองชั้น หลังคามุงกระเบื้องมอญทรงสูง ลักษณะทางสถาปัตยกรรมเป็นแบบวิคตอเรียน มีโถงทางเข้าร่วมกันแต่ละคู่ที่ชั้นล่าง ประตูทางเข้าร่วมทำเป็นซุ้มโค้ง มีบันไดภายในเชื่อมชั้นล่างและชั้นบน มีการตกแต่งตอนมุมของอาคารเป็นเสาอิงเซาะร่อง มีบัวหัวเสาเป็นแบบตะวันตก ตอนหักมุมของอาคารทำเป็นรูปจั่วแบบตะวันตก (pediment) ตรงกลางมีลายปูนปั้นรูปวงกลมแถวเต๊งกลาง หรือโรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบหรือเต๊งท่ออาณาเขตตั้งแต่เต๊งแดงถึงเต๊งท่อ เป็นที่พำนักข้าราชบริพารและข้าราชการฝ่ายใน ปัจจุบันเป็นที่ทำการโรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบ มี 75 ห้อง แถวเต๊งท่อเป็นอาคารสูงสองชั้น โครงสร้างก่ออิฐถือปูน แบ่งห้องพักเป็นคู่ ๆ มีสถาปัตยกรรมแบบเดียวกันแถวเต๊งกลาง สันนิษฐานว่าปรับปรุงขึ้นพร้อมกันในสมัยรัชกาลที่ 5
เรื่องจริงของจริงใน "สี่แผ่นดิน" ตอนที่ ๖
โดย.. ลุงใหญ่
๒๐ มกราคม ๒๕๕๖
** เนื้อหาสาระของความคิดนั้น จะผิด ถูก ตรง ไม่ตรง
ดี ไม่ดี อย่างไร ก็เป็นเรื่องของความคิด
และขึ้นอยู่ที่ผู้อ่านว่าจะตัดสินอย่างไร เป็นสิทธิส่วนบุคคล
ลุงใหญ่ บันทึกไว้เพื่อกันลืมเท่านั้น
มิได้ตั้งใจจะสอนอะไรกับใครๆ ทั้งสิ้นครับ **
.. เมื่อผ่านเข้าประตูศรีสุดาวงศ์ มาระยะหนึ่งพลอยสังเกตเห็นอาคารริมทางเดินเป็นตึกแถว ๒ ชั้น ยาวติดต่อกันแบ่งเป็นห้อง ๆ เมื่อพลอยถามแม่แช่มถึงตึกที่ว่านี้ แม่แช่มก็ตอบสัน ๆ ว่า "แถวเต๊ง"
.. อาคารที่เรียกว่า "แถวเต๊ง" นี้เป็นที่อยู่ของพนักงานที่ทำหน้าที่ต่าง ๆ ภายในเขตพระราชสำนักฝ่ายใน สมัยรัตนโกสินทร์ สร้างเป็นอาคารแถวทิมชันเดียวก่ออิฐถือปูน ยังไม่เรียกว่า "แถวเต๊ง" ครั้นถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้ปรับปรุงใหม่เปลี่ยนเป็นอาคาร ๒ ชั้น ชั้นล่างเป็นตึก ชั้นบนเป็นไม้ หลังคามุงกระเบื้องดินเผา แบ่งส่วนเป็นห้อง ๆ ด้วยฝาไม้ มีระเบียงโปร่งด้านหน้า ชาววังเรียกอาคารลักษณะนี้ว่า "แถวเต๊ง" สันนิษฐานว่า น่าจะเพี้ยนมาจากการเรียกของช่างชาวจีนที่เรียก
เรือน ๒ ชั้นนี้ว่า "เล่าเต๊ง"
.. แถวเต๊งในพระราชสำนักฝ่ายใน มีทั้งหมด ๕ แถว คือ แถวเต๊งด้านทิศตะวันตก และแถวเต๊งด้าทิศตะวันออก แถวเต๊ง ๒ แถวนี้ พระบามสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้เปลี่ยนแปลงจากอาคารแถวทิมชั้นเดียว เต๊งแถวท่อ เต๊งแดง และเต๊งแถวนอก
ทั้ง ๓ เต๊งนี้ เป็นเต๊งสร้างขึ้นใหม่ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว อยู่ด้านทิศใต้ของพระบรมมหาราชวัง
ที่เรียกเต๊งแถวท่อเพราะสร้างขึ้นตามแนวท่อที่ชักน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยาเข้ามาใช้ในพระบรมมหาราชวัง และที่เรียกว่าเต๊งแดง
ก็เพราะทาด้วยสีแดง ส่วนเต๊งแถวนอก เป็นเต๊งที่อยู่ระหว่างเต๊งแถวท่อและเต๊งแดง เต๊งทั้งหมดรวมเรียกว่า "แถวเต๊ง"
.. ภาพโดยรวมแล้ว แถงเต๊งจึงเป็นอาคารสูง ๒ ชั้น โอบล้อมพระราชสำนักฝ่ายในอยู่ทั้งด้านทิศตะวันออก ทิศตะวันตก และทิศใต้ แถวเต๊งเป็นที่อยู่ของพนักงานหน้าที่ต่าง ๆ ซึ่งมีจำนวนเพิ่มขึ้นทุกรัชกาล จึงเป็นสถานที่ที่มีผู้คนอาศัยอยู่อย่างแออัดคับคั่ง ดังที่ผู้ประพันธ์บรรยายบรรยากาศแถวเต๊ง โดยผ่านความนึกคิดของพลอยว่า "ตามแถวเต๊งนั้นมีคนอยู่เต็มไปหมดไม่มีที่ว่าง"
ปล. ความหมายของรูปภาพ "แถวเต๊ง" ที่นำมาแสดงเรื่องจริงของจริง "สี่แผ่นดิน" เล่าเฒ่าที่รู้ ตอนที่ ๖ โดย.. ลุงใหญ่
.. แถวเต๊ง เดิมเป็นอาคารแถวทิมชั้นเดียวตั้งอยู่ขอบเขตพระราชฐานชั้นในทั้งด้านทิศตะวันออก ทิศตะวันตก และทิศใต้ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเพื่อกั้นเขตพระราชฐานชั้นในกับพระราชฐานชั้นนอกด้านทิศใต้ และใช้เป็นที่อยู่ของผู้ปฏิบัติงานในเขตพระราชฐานชั้นใน เช่นข้าหลวง คุณพนักงาน คุณห้องเครื่อง คุณเฒ่าแก่ ฯลฯ แถวเต๊งในพระราชฐานชั้นในมีสามแถวดังนี้
.. แถวเต๊งนอกในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้ปรับปรุงแถวเต๊งท่อและเต๊งด้านกลาง นอกจากนี้ยังโปรดเกล้าฯ ให้สร้างแต๊งแถวนอกดังกล่าวนี้ขึ้นใหม่ ทางทิศใต้ของเขตพระราชฐานชั้นใน ลักษณะแถวเต๊งนอกเป็นอาคารก่ออิฐปูนสูงสองชั้น หลังคามุงกระเบื้องมอญทรงสูง ลักษณะทางสถาปัตยกรรมเป็นแบบวิคตอเรียน มีโถงทางเข้าร่วมกันแต่ละคู่ที่ชั้นล่าง ประตูทางเข้าร่วมทำเป็นซุ้มโค้ง มีบันไดภายในเชื่อมชั้นล่างและชั้นบน มีการตกแต่งตอนมุมของอาคารเป็นเสาอิงเซาะร่อง มีบัวหัวเสาเป็นแบบตะวันตก ตอนหักมุมของอาคารทำเป็นรูปจั่วแบบตะวันตก (pediment) ตรงกลางมีลายปูนปั้นรูปวงกลมแถวเต๊งกลาง หรือโรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบหรือเต๊งท่ออาณาเขตตั้งแต่เต๊งแดงถึงเต๊งท่อ เป็นที่พำนักข้าราชบริพารและข้าราชการฝ่ายใน ปัจจุบันเป็นที่ทำการโรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบ มี 75 ห้อง แถวเต๊งท่อเป็นอาคารสูงสองชั้น โครงสร้างก่ออิฐถือปูน แบ่งห้องพักเป็นคู่ ๆ มีสถาปัตยกรรมแบบเดียวกันแถวเต๊งกลาง สันนิษฐานว่าปรับปรุงขึ้นพร้อมกันในสมัยรัชกาลที่ 5
เรื่องจริงของจริงใน "สี่แผ่นดิน" ตอนที่ ๖
โดย.. ลุงใหญ่
๒๐ มกราคม ๒๕๕๖
** เนื้อหาสาระของความคิดนั้น จะผิด ถูก ตรง ไม่ตรง
ดี ไม่ดี อย่างไร ก็เป็นเรื่องของความคิด
และขึ้นอยู่ที่ผู้อ่านว่าจะตัดสินอย่างไร เป็นสิทธิส่วนบุคคล
ลุงใหญ่ บันทึกไว้เพื่อกันลืมเท่านั้น
มิได้ตั้งใจจะสอนอะไรกับใครๆ ทั้งสิ้นครับ **
Friday, January 18, 2013
.. เล่าเฒ่าที่รู้ .. "สี่แผ่นดิน" ตอนที่ ๕
ท่าพระ , ประตูวัง
ธรรมเนียมห้ามเหยียบธรณีประตู
.. เมื่อแม่แช่มพาพลอยมาจากบ้านคลองบางหลวง เพื่อถวายตัวกับเสด็จนั้นโดยขึ้นเรือที่ท่าพระ .. ท่าเรือที่เรียกว่าท่าพระนั้น ปัจจุบันก็คือ " ท่าช้างวังหลวง " ชื่อทั้งสองมีที่มา คือชื่อท่าช้างวังหลวง มาจากบริเวณนี้เป็นท่าน้ำสำหรับช้างที่เลี้ยงในวังหลวง ข้างประตูพิมานไชยศรี ลงอาบน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา คู่กับ " ท่าช้างวังหน้า " ซึ่งเป็นท่าอาบน้ำของช้างที่เลี้ยงในวังหน้า
.. ส่วนที่เรียกว่าท่าพระ ก็สืบเนื่องมาจากการที่ท่าน้ำแห่งนี้เคยเป็นที่พักแพ "ประดิษฐานพระศรีศากยมุนี" ซึ่งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้โปรดให้อันเชิญมาจากพระวิหารหลวงวัดมหาธาตุ เมืองสุโขทัย เพื่อนำมาเป็นพระประธานในพระอุโบสถวัดสุทัศนเทพวราราม เมื่อ พ.ศ. ๒๓๕๑ ครั้นมาถึงกรุงเทพมหานคร แล้วโปรดให้พักแพที่ท่าน้ำแห่งนี้ ประกอบพระราชพิธีสมโภชพระพุทธรูปเป็นวลา ๗ วัน และยังมีเรื่องเล่ากันต่อมาว่าเมื่อสมโภชแล้วจะอัญเชิญขึ้นบกนั้นปรากฏว่าพระองค์ใหญ่กว่าประตูเมืองเข้าไม่ได้ ถึงกับต้องรื้อประตูเมือง จึงเป็นทั้งเรื่องและงานที่ยิ่งใหญ่เอิกเกริกจนเป็นที่จดจำ เรียกขานท่าน้ำแห่งนี้ว่าท่าพระ ต่อมาเมื่อเวลาผ่านไปนาน ผู้คนไม่รู้ที่มาของชื่อ เห็นแต่เป็นท่าที่ช้างวังหลวงลงอาบน้ำ จึงเรียกท่าช้างวังหลวงเป็นที่หมาย ส่วนคำว่าท่าพระปัจจุบันใช้เรียกท่าเรือฝั่งตรงข้ามกับท่าช้างวังหลวง
.. เมื่อขึ้นจากเรือที่ท่าพระ แม่แช่มพาพลอยเดินเลาะกำแพงวังเรื่อยมา ได้สักครู่จึงเลี้ยวเข้าประตูชั้นนอก ประตูที่แม่แช่มพาพลอยผ่านเข้ามานั้น เป็นประตูพระบรมมหาราชวังชั้นนอกและชั้นกลาง ชั้นนอกเป็นประตูในกำแพงที่อยู่ริมถนนมหาราช เรียกประตูช่องกุดเมื่อผ่านเข้ามาถึงลานกว้าง ซึ่งในสี่แผ่นดินบรรยายว่า "มีหาบขายของและของที่วางขายก็ดูมีมากมายเหลือขนาด" ลานกว้างนั้นคือถนนเขื่อนขันธ์นิเวศน์ ซึ่งเป็นถนนคั่นระหว่างกำแพงชั้นนอกและกำแพงชั้นกลางมีประตูตรงกับประตูช่องกุด คือ "ประตูศรีสุดาวงศ์" ทั้ง ๒ ประตูเป็นทางเข้าออกของผู้คนในพระราชสำนักฝ่ายใน จะเปิดเวลา ๐๖.๐๐ น. และปิดเวลา ๑๘.๐๐ น. เพราะฉะนั้นผู้ที่มีธุระจะต้องรีบออกไปทำธุระให้เสร็จภายในเวลาประตูวังปิด มิฉะนั้นจะต้องค้างอยู่นอกวัง หรือหากจะเข้าประตูอื่นก็จะต้องมีพิธีตรวจสอบยุ่งยากกว่าประตูนี้ ผู้คนที่เดินเข้าออกจึงมีลักษณะ "รีบร้อนดูสับสน"
.. ประตูศรีสุดาวงศ์ ซึ่งเป็นประตูเข้าสู่พระราชฐานชั้นใน มีลักษณะเป็นประตูบานใหญ่ ๒ บาน ซึ่งปกติจะปิดอยู่เสมอ ในบานใหญ่จะมีประตูบานเล็กสำหรับเปิดปิดให้คนข้าออกเป็นประจำ ด้วยเหตุที่มีประตูบานเล็กซ้อนอยู่ในประตูบานใหญ่ จึงทำให้มีธรณีประตูค่อนข้างหนาชาววังถือกันว่าประตูพระบรมมหาราชวังทุก ๆ แห่งมีเทวดารักษาอยู่ จึงไม่สมควรที่จะขึ้นไปเหยียบบนธรณีประตู เวลาเข้าออกให้เดินข้ามผ่านไป
.. หากผู้ใดไม่ทราบหรือพลั้งเผลอไเหยียบเข้า โขลนเฝ้าประตูจะดุว่า หรืออาจสั่งให้ลงกราบขอขมาธรณีประตูนั้น อย่างที่พลอยเกิดความประหม่าและกลัวจึงเผลอเหยียบธรณีประตู และโขลนเรียกให้มากราบขอขมาธรณีประตู
.. พลอยเข้าวังครั้งแรกก็พบกับเรื่ิงที่ทำให้ตกใจกลัวและรผู้จักกับคนที่เรีกยว่าโขลน เมื่อพลอยเหยียบธรณีประตู และได้ยินเสียวใครคนหนึ่วร้องราวกับฟ้าผ่าว่า " หยุด หยุดเดี๋ยวนี้ กลับมานี่ก่อน " เสียงนั้นคือเสียงพนักงานเฝ้าประตูที่เรียกว่า " โขลน "
.. โขลน เป็นพนักงานสังกัดกรมโขลน ซึ่งมีมาตั้งแต่สมัยอยุธยาสืบต่อมาจนถึงรัตนโกสินทร์ ทำหน้าที่คล้ายตำรวจนครบาลของพระราชสำนักฝ่ายหน้า กรมโขลนสังกัดกระทรวงวัง มีการบังคับบัญชาตามลำดับชั้นต้นตั้งแต่นายซึ่งเป็นชั้นต่ำสุดแล้วจึงถึงจ่า ชั้นสูงสุดคือ หลวงแม่เจ้า ทั้งหมดมีอธิบดีกรมโขลนเป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรง อธิบดีกรมโขลนในรัชสมัยพระบามสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว คือ " พระองค์เจ้านภาพรประภา กรมหลวงทิพยรัตนกิริฎกุลินี " เรียกกันว่า เสด็จอธิบดี ที่ทำการหรือกองรักษาการกรมโขลนอยู่ชั้นล่างของพระที่นั่งนิพัทธพงศ์ถาวรวิจิตร เรียกว่าศาลากรมโขลน เครื่องแบบพนักงานโขลนที่ใช้กันทั่วไปคือ นุ่งผ้าพื้นโจงกระเบนสีน้ำเงินกรมท่า สวมเสื้อขาวคอกลมผ่าอกกระดุม ๕ เม็ด แขนกระบอกยาวจรดข้อมือ มีผ้าห่มสี่เหลี่ยมผืนผ้าสีขาวอีกผืนหนึ่งห่มเป็นสไบเฉลียงไหล่ซ้าย หนาที่สำคัญของกรมโขลนก็คือ ดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยความปลอดภัย และกวนขันให้ทุกคนปฏิบัติตามขนบประเพณีที่อยู่ในขอบเขตของกฎมณเฑียรบาล
.. แม้พนักงานโขลนจะจัดเป็นชาววังชั้นต่ำสุดจากการแบ่งกลุ่มชาววังเป็น ๓ กลุ่ม คือ
.. กลุ่มชั้นสูง ได้แก่ เจ้านาย และ พระบรมวงศานุวงศ์
.. กลุ่มชั้นกลาง ได้แก่ บุตรหลานเสนาบดี หรือคหบดีที่ถวายตัวกับเจ้านายตำหนักต่าง ๆ
.. กลุ่มชั้นต่ำ ได้แก่ ข้าทาสบริวารที่ต้องใช้แรงงานรวมทั้งโขลนด้วย แต่เพราะหน้าที่รักษากฏระเบียบธรรมเนียมวังของโขลนนั้นทำให้โขลนมีอำนาจในการว่ากล่าวคนทำผิดหรือพลั้งเผลอืำผิดขนบประเพณีวัง ซึ่งโขลนจะใช้วิธีว่ากล่าว อบรมสั่งสอนต่อหน้่าธารกำนัล ทำให้ได้รับความอับาย ชาววังจึงกลัวเกรงโขลน ไม่อยากมีเรื่องราวกับโขลนอย่างที่แม่แช่มกระซิมสั่งสอนพลอยว่า
"พลอยจะอยู่ในวังต่อไปจำไว้ให้ดี อย่าไปเกิดเรื่องกับโขลน แกด่ายับเลยทีเดียว เราสู้เขาไม่ได้หรอก" ...?
ปล. ความหมายของรูปภาพต่าง ๆ ที่นำมาแสดงเรื่องจริงของจริง "สี่แผ่นดิน" เล่าเฒ่าที่รู้ ตอนที่ ๕ โดย.. ลุงใหญ่
๑. ท่าช้างวังหลวง หรือที่เรียกว่า ท่าพระ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เป็นบริเวณประตูเมืองที่นำช้างซึ่งเลี้ยงไว้ในพระบรมมหาราชวัง หรือพระราชวังหลวง ลงอาบน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา จึงเรียกกันว่า "ท่าช้างวังหลวง" ต่อมาใน พ.ศ. 2351 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระศรีศากยมุนีจากสุโขทัยมาทางแพเพื่อมาประดิษฐานที่วัดสุทัศนเทพวราราม และพักแพที่ท่าช้างวังหลวงเพื่อประกอบพระราชพิธีสมโภชเป็นเวลา 3 วัน แต่พระพุทธรูปไม่สามารถผ่านประตูเมืองบริเวณนี้ได้ จึงโปรดเกล้าฯ ให้รื้อประตูและกำแพงบางส่วนออก แล้วสร้างประตูใหม่พระราชทานนามว่า "ประตูท่าพระ" แต่ประชาชนยังคงนิยมเรียกกันว่า ท่าช้าง หรือท่าช้างวังหลวง ปัจจุบันเป็นท่าเรือข้ามฟากซึ่งเอกชนได้เช่าจากกรุงเทพมหานครมาดำเนินการ ส่วนท่าพระปัจจุบันใช้เรียกท่าเรือบริเวณใกล้เคียงท่าช้างวังหลวง และยังเป็นชื่อวังท่าพระที่ตั้งอยู่บริเวณท่าช้างวังหลวงซึ่งเป็นที่ประทับของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ปัจจุบันคือมหาวิทยาลัยศิลปากร
๒. ประตูศรีสุดาวงศ์ ประตูทางเข้าออกของผู้คนในพระราชสำนักฝ่ายใน การเข้าออกมีโขลนประตูเป็นผู้หญิง ดุมาก เฝ้าอยู่
พระสนม ออกลูกเป็นชาย ก็อยู่ด้วยกัน พอโสกันต์แล้วค่อยออกไปอยู่ข้างนอกครับ ญาติพี่น้องชาย ขออนุญาตเข้าได้ตอนกลางวัน ห้ามค้างคืน เมื่อก่อนพระสงฆ์เข้ารับบาตรได้ แต่หลังจากเกิดกรณีพระองค์เจ้ายิ่งเยาวลักษณ์ ก็ให้ผ้าแดง นับองค์กันให้แน่ใจว่า เข้าแล้วออกครบ ข้าราชการชาย มีหมายอนุญาตเข้าได้ ห้ามค้างคืนเด็ดขาด นางในไปไหนต้องมีผ้าหรือฉากกั้น และเดินคนละทางกับมหาดเล็ก เพราะเหตุนี้ในพระราชฐานชั้นใน
ประตูศรีสุดาวงศ์ หรือ ประตูดิน (เนื่องจากมีจอมปลวกอยู่ใกล้ๆ) เป็นประตูสำหรับสตรีชาววังที่มิใช่เจ้านาย มักจะมีชายหนุ่มเข้ามาแอบดู และเกี้ยวพาราณสีสาวชาววัง จนเป็นที่มาของสำนวน "เจ้าชู้ประตูดิน"
๓. กรมโขลน บทบาทและหน้าที่ของโขลนในสมัยก่อน ( ตำรวจวังที่เป็นหญิงล้วน )
โขลนเป็นผู้ตรวจตรารักษาถนนหนทาง ดูแลเรื่องความสะอาด ดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยไม่ให้มีการทะเลาะวิวาทกัน ในเขตพระราชฐานชั้นใน ความรับผิดชอบของโขลนมีมากขึ้นในปี พ.ศ. 2440 เมื่อให้มีการจัดขึ้นเป็น กรมโขลน ดังที่กล่าวไปบ้างแล้ว ดังจะเห็นได้จาก พระบรมราชโองการเกี่ยวกับการตั้งกรมโขลนและหน้าที่ของกรมโขลน ตอนหนึ่งว่า
" ทรงพระกรุณาโปรดให้จัดโขลนเปนธรรมเนียมคล้ายโปลิดให้รักษาถนนในพระบรมมหาราชวังทุกถนนทุกทางให้จัดแบ่งเขตรแดน แต่รายกำลังโปลิดจะรักษาได้ แล้วให้มีนายกำกับคนหนึ่ง สำหรับว่ากล่าว ว่ากล่าวโปลิดตลอดทุก ๆ ถนน แลจะพระราชทานเงินเดือนให้โปลิดพอเป็นเบี้ยเลี้ยง ตามผู้ได้รับราชการมากแลน้อย....ให้ผู้รับราชการในพระบรมมหาราชวังจัดเกวียนเล็ก ๆ สำหรับรับหยากเยื่อฝุ่นฝอยใบไม้ ใบตองของที่เปื้อนและเครื่องโสโครกทั้งปวงให้หญิงมหันตโทษเขนมาในพระบรมมหาราชวังเวลาเช้าให้โขลนพนักงานที่รับเครื่องรกเปื้อนบนเรือนของตัวลงมาในเกวียนซึ่งลากไปนั้น ถ้าเปนน้ำกระโถนก็ดี ฤาน้ำอื่น ๆ ซึ่งเป็นของโสโครกห้ามมิให้เทลงในเกวียนหยักเยื่อฝุ่นฝอย จะให้มีเกวียนถังไปรับต่างหาก ห้ามมิให้เทหยากเยื่อ หน้าที่ของตัว...ให้โปลิดระวังอย่าให้เกิดการทะเลาะชกตีกันในวัง ห้ามชาววัง ห้ามโปลิดกล่าวคำหยาบ "
จากพระบรมราชโองการข้างต้นทำให้เห็นภาพของโขลนในสมัยนั้น นอกจากว่า โขลนต้องทำหน้าที่เหมือนตำรวจแล้ว ยังมีอีกหน้าที่หนึ่งที่ต้องอำนวยความสะดวกในเส้นทางที่มีเสด็จพระราชดำเนินผ่าน เช่น ร้องห้ามให้คนหยุด เป็นสัณญาณว่ามีการเสด็จพระราชดำเนินผ่านที่นั้น ผู้คนทั้งปวงจะต้องหลบหลีกเปิดเส้นทางให้พร้อมกับหมอบลง หรือทำหน้าที่ปิด - เปิดประตู ให้เจ้านายเสด็จผ่าน
๔. พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้านภาพรประภา กรมหลวงทิพยรัตนกิริฎกุลินี (13 พฤษภาคม พ.ศ. 2407 - 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2501) หรือที่ถวายเรียกกันว่า เสด็จอธิบดี อธิบดีหญิงคนแรกของประเทศไทย พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้านภาพรประภา กรมหลวงทิพยรัตนกิริฎกุลินี เป็นพระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวประสูติแต่เจ้าคุณจอมมารดาสำลี เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2407 พระองค์มีพระเชษฐาและพระภคินีรวม 4 พระองค์ ได้แก่ พระองค์เจ้าชายแดง พระองค์เจ้าหญิงเขียว พระองค์เจ้าบุษบงเบิกบาน และพระองค์เจ้าสุขุมาลมารศรี ในสมัยที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จประพาสทวีปยุโรป และสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถ ได้ทรงสำเร็จราชการแผ่นดิน พระองค์เจ้าหญิงนภาพรประภานี้ได้ทรงรับราชการเป็น "เสด็จอธิบดี" ทรงว่ากล่าวควบคุมความเรียบร้อยและความเป็นไปทุกอย่างในพระบรมมหาราชวัง ร่ำลือกันว่าผู้คนนั้นเกรงกลัว "เสด็จอธิบดี" เสียยิ่งกว่า "สมเด็จรีเยนท์" (สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถ) เสียอีก
ในฐานะที่เป็นพระน้องนางร่วมพระชนนีกับ "เสด็จพระนาง" (สมเด็จพระปิตุจฉาเจ้าสุขุมาลมารศรี พระอัครราชเทวี ขณะนั้นทรงดำรงพระอิสริยยศเป็น พระนางเจ้าสุขุมาลมารศรี พระราชเทวี) พระองค์เจ้าหญิงนภาพรประภาจึงประทับอยู่ในตำหนักเดียวกัน พร้อมกับพระมารดาคือเจ้าคุณจอมมารดาสำลีในรัชกาลที่ 5 สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าสุทธาทิพยรัตน์ กรมหลวงศรีรัตนโกสินทร และสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต นอกจากนี้ยังทรงสนิทสนมกับสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า และสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถอีกด้วยในฐานะที่ทรงเป็น "พระเจ้าลูกเธอชั้นเล็ก" เช่นกัน โดยเฉพาะกับสมเด็จพระศรีพัชรินทราฯ นั้นนอกจากจะทรงวิสาสะกันในฐานะพระพี่พระน้องแล้ว ยังทรงรับผิดชอบบริหารงานราชการฝ่ายในร่วมกัน และได้ทรงเลี้ยงดูพระราชโอรสพระองค์หนึ่งในสมเด็จพระศรีพัชรินทรา (ซึ่งก็นับว่าเป็นพระราชภาติยะของพระองค์ทั้งสองฝ่าย) คือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธ กรมหลวงนครราชสีมา ถึงขนาด "ทูลกระหม่อมติ๋ว" รับสั่งว่า "หากไม่ติดเกรงพระทัยทูลกระหม่อมชาย อยากจะทูลเชิญเสด็จน้ามาประทับอยู่ด้วยกัน"ในสมัยรัชกาลที่ 7 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมสถาปนาพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้านภาพรประภาขึ้นเป็นพระองค์เจ้าต่างกรม มีพระนามตามจารึกในพระสุพรรณบัฏว่า พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงทิพยรัตนกิริฎกุลินี พระองค์นับเป็นพระราชธิดาในรัชกาลที่ 4 เพียง 1 ใน 4 พระองค์ที่ได้ทรงกรม และเป็นเพียง 1 ใน 2 พระองค์ที่ทรงกรมขณะมีพระชนม์ชีพ และพระองค์เดียวที่ได้รับการสถาปนาในรัชกาลที่ 7เจ้ากรมพระอาลักษณ์นั้น สามารถคิดพระนามกรมของพระเจ้าลูกเธอชั้น 4 ให้คล้องจองกันได้อย่างน่าอัศจรรย์ ดังเช่นเสด็จอธิบดีนั้น มิมีผู้ใดคาดว่าจะได้ทรงกรม แต่เมื่อทรงกรมแล้วอาลักษณ์ก็สามารถคิดพระนามกรมให้เรียงกันได้ดังนี้ ... นริศรานุวัดติวงศ์ - มรุพงศ์สิริพัฒน์ - ทิพยรัตนกิริฎกุลินี - สวัสดิวัดนวิศิษฎ์ - มหิศรราชหฤทัย...
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงทิพยรัตนกิริฏกุลินีทรงเคยกราบบังคมทูลลาออกจากราชการ แต่รัชกาลที่ 7 ไม่ทรงพระอนุญาต จึงทรงรับราชการเรื่อยมาจนถึงการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พระองค์จึงได้เสด็จลี้ภัยตามสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ไปประทับที่เมืองบันดุง ประเทศอินโดนีเซียในระหว่างที่ประทับรถไฟ ทรงคิดได้ว่าที่เมืองบันดุงจะหาหมากเสวยได้ยากลำบาก หากยังจะเสวยหมากอยู่อีกจะเป็นภาระและยุ่งยากนัก ด้วยความเด็ดเดี่ยวในพระทัย จึงทรงโยนเชี่ยนหมากทิ้งตรงชายแดนไทย-มาเลเซีย นับแต่นั้นมา ก็ไม่ทรงเสวยหมากอีกเลย แม้เมื่อเหตุการณ์สงบและเสด็จกลับมาเมืองไทยและประทับที่วังสวนผักกาดแล้วก็ตาม เมื่อมีพระชันษาสูงขึ้น รัชกาลที่ 9 ทรงมีรับสั่งให้สร้างตำหนักเล็กอยู่ที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์เพื่อเสด็จอธิบดีจะได้ไปประทับและไปประทับอยู่ที่นั้นตราบสิ้นพระชนม์เมื่องานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ในรัชกาลที่ 9 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงทิพยรัตนกิริฏกุลินี ในฐานะที่ทรงเป็นพระราชวงศ์ฝ่ายในที่มีพระชนม์มากที่สุด จึงทรงร่วมกับพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประดิษฐาสารีเป็นผู้ลาดพระที่ในคราวนั้นด้วย พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้านภาพรประภากรมหลวงทิพยรัตนกิริฎกุลินี สิ้นพระชนม์เมื่อปี 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2501 พระชันษา 94 ปี อธิบดีหญิงพระองค์แรกของไทย
เรื่องจริงของจริงใน "สี่แผ่นดิน" ตอนที่ ๕
โดย.. ลุงใหญ่
๑๘ มกราคม ๒๕๕๖
** เนื้อหาสาระของความคิดนั้น จะผิด ถูก ตรง ไม่ตรง
ดี ไม่ดี อย่างไร ก็เป็นเรื่องของความคิด
และขึ้นอยู่ที่ผู้อ่านว่าจะตัดสินอย่างไร เป็นสิทธิส่วนบุคคล
ลุงใหญ่ บันทึกไว้เพื่อกันลืมเท่านั้น
มิได้ตั้งใจจะสอนอะไรกับใครๆ ทั้งสิ้นครับ **
ธรรมเนียมห้ามเหยียบธรณีประตู
.. เมื่อแม่แช่มพาพลอยมาจากบ้านคลองบางหลวง เพื่อถวายตัวกับเสด็จนั้นโดยขึ้นเรือที่ท่าพระ .. ท่าเรือที่เรียกว่าท่าพระนั้น ปัจจุบันก็คือ " ท่าช้างวังหลวง " ชื่อทั้งสองมีที่มา คือชื่อท่าช้างวังหลวง มาจากบริเวณนี้เป็นท่าน้ำสำหรับช้างที่เลี้ยงในวังหลวง ข้างประตูพิมานไชยศรี ลงอาบน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา คู่กับ " ท่าช้างวังหน้า " ซึ่งเป็นท่าอาบน้ำของช้างที่เลี้ยงในวังหน้า
.. ส่วนที่เรียกว่าท่าพระ ก็สืบเนื่องมาจากการที่ท่าน้ำแห่งนี้เคยเป็นที่พักแพ "ประดิษฐานพระศรีศากยมุนี" ซึ่งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้โปรดให้อันเชิญมาจากพระวิหารหลวงวัดมหาธาตุ เมืองสุโขทัย เพื่อนำมาเป็นพระประธานในพระอุโบสถวัดสุทัศนเทพวราราม เมื่อ พ.ศ. ๒๓๕๑ ครั้นมาถึงกรุงเทพมหานคร แล้วโปรดให้พักแพที่ท่าน้ำแห่งนี้ ประกอบพระราชพิธีสมโภชพระพุทธรูปเป็นวลา ๗ วัน และยังมีเรื่องเล่ากันต่อมาว่าเมื่อสมโภชแล้วจะอัญเชิญขึ้นบกนั้นปรากฏว่าพระองค์ใหญ่กว่าประตูเมืองเข้าไม่ได้ ถึงกับต้องรื้อประตูเมือง จึงเป็นทั้งเรื่องและงานที่ยิ่งใหญ่เอิกเกริกจนเป็นที่จดจำ เรียกขานท่าน้ำแห่งนี้ว่าท่าพระ ต่อมาเมื่อเวลาผ่านไปนาน ผู้คนไม่รู้ที่มาของชื่อ เห็นแต่เป็นท่าที่ช้างวังหลวงลงอาบน้ำ จึงเรียกท่าช้างวังหลวงเป็นที่หมาย ส่วนคำว่าท่าพระปัจจุบันใช้เรียกท่าเรือฝั่งตรงข้ามกับท่าช้างวังหลวง
.. เมื่อขึ้นจากเรือที่ท่าพระ แม่แช่มพาพลอยเดินเลาะกำแพงวังเรื่อยมา ได้สักครู่จึงเลี้ยวเข้าประตูชั้นนอก ประตูที่แม่แช่มพาพลอยผ่านเข้ามานั้น เป็นประตูพระบรมมหาราชวังชั้นนอกและชั้นกลาง ชั้นนอกเป็นประตูในกำแพงที่อยู่ริมถนนมหาราช เรียกประตูช่องกุดเมื่อผ่านเข้ามาถึงลานกว้าง ซึ่งในสี่แผ่นดินบรรยายว่า "มีหาบขายของและของที่วางขายก็ดูมีมากมายเหลือขนาด" ลานกว้างนั้นคือถนนเขื่อนขันธ์นิเวศน์ ซึ่งเป็นถนนคั่นระหว่างกำแพงชั้นนอกและกำแพงชั้นกลางมีประตูตรงกับประตูช่องกุด คือ "ประตูศรีสุดาวงศ์" ทั้ง ๒ ประตูเป็นทางเข้าออกของผู้คนในพระราชสำนักฝ่ายใน จะเปิดเวลา ๐๖.๐๐ น. และปิดเวลา ๑๘.๐๐ น. เพราะฉะนั้นผู้ที่มีธุระจะต้องรีบออกไปทำธุระให้เสร็จภายในเวลาประตูวังปิด มิฉะนั้นจะต้องค้างอยู่นอกวัง หรือหากจะเข้าประตูอื่นก็จะต้องมีพิธีตรวจสอบยุ่งยากกว่าประตูนี้ ผู้คนที่เดินเข้าออกจึงมีลักษณะ "รีบร้อนดูสับสน"
.. ประตูศรีสุดาวงศ์ ซึ่งเป็นประตูเข้าสู่พระราชฐานชั้นใน มีลักษณะเป็นประตูบานใหญ่ ๒ บาน ซึ่งปกติจะปิดอยู่เสมอ ในบานใหญ่จะมีประตูบานเล็กสำหรับเปิดปิดให้คนข้าออกเป็นประจำ ด้วยเหตุที่มีประตูบานเล็กซ้อนอยู่ในประตูบานใหญ่ จึงทำให้มีธรณีประตูค่อนข้างหนาชาววังถือกันว่าประตูพระบรมมหาราชวังทุก ๆ แห่งมีเทวดารักษาอยู่ จึงไม่สมควรที่จะขึ้นไปเหยียบบนธรณีประตู เวลาเข้าออกให้เดินข้ามผ่านไป
.. หากผู้ใดไม่ทราบหรือพลั้งเผลอไเหยียบเข้า โขลนเฝ้าประตูจะดุว่า หรืออาจสั่งให้ลงกราบขอขมาธรณีประตูนั้น อย่างที่พลอยเกิดความประหม่าและกลัวจึงเผลอเหยียบธรณีประตู และโขลนเรียกให้มากราบขอขมาธรณีประตู
.. พลอยเข้าวังครั้งแรกก็พบกับเรื่ิงที่ทำให้ตกใจกลัวและรผู้จักกับคนที่เรีกยว่าโขลน เมื่อพลอยเหยียบธรณีประตู และได้ยินเสียวใครคนหนึ่วร้องราวกับฟ้าผ่าว่า " หยุด หยุดเดี๋ยวนี้ กลับมานี่ก่อน " เสียงนั้นคือเสียงพนักงานเฝ้าประตูที่เรียกว่า " โขลน "
.. โขลน เป็นพนักงานสังกัดกรมโขลน ซึ่งมีมาตั้งแต่สมัยอยุธยาสืบต่อมาจนถึงรัตนโกสินทร์ ทำหน้าที่คล้ายตำรวจนครบาลของพระราชสำนักฝ่ายหน้า กรมโขลนสังกัดกระทรวงวัง มีการบังคับบัญชาตามลำดับชั้นต้นตั้งแต่นายซึ่งเป็นชั้นต่ำสุดแล้วจึงถึงจ่า ชั้นสูงสุดคือ หลวงแม่เจ้า ทั้งหมดมีอธิบดีกรมโขลนเป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรง อธิบดีกรมโขลนในรัชสมัยพระบามสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว คือ " พระองค์เจ้านภาพรประภา กรมหลวงทิพยรัตนกิริฎกุลินี " เรียกกันว่า เสด็จอธิบดี ที่ทำการหรือกองรักษาการกรมโขลนอยู่ชั้นล่างของพระที่นั่งนิพัทธพงศ์ถาวรวิจิตร เรียกว่าศาลากรมโขลน เครื่องแบบพนักงานโขลนที่ใช้กันทั่วไปคือ นุ่งผ้าพื้นโจงกระเบนสีน้ำเงินกรมท่า สวมเสื้อขาวคอกลมผ่าอกกระดุม ๕ เม็ด แขนกระบอกยาวจรดข้อมือ มีผ้าห่มสี่เหลี่ยมผืนผ้าสีขาวอีกผืนหนึ่งห่มเป็นสไบเฉลียงไหล่ซ้าย หนาที่สำคัญของกรมโขลนก็คือ ดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยความปลอดภัย และกวนขันให้ทุกคนปฏิบัติตามขนบประเพณีที่อยู่ในขอบเขตของกฎมณเฑียรบาล
.. แม้พนักงานโขลนจะจัดเป็นชาววังชั้นต่ำสุดจากการแบ่งกลุ่มชาววังเป็น ๓ กลุ่ม คือ
.. กลุ่มชั้นสูง ได้แก่ เจ้านาย และ พระบรมวงศานุวงศ์
.. กลุ่มชั้นกลาง ได้แก่ บุตรหลานเสนาบดี หรือคหบดีที่ถวายตัวกับเจ้านายตำหนักต่าง ๆ
.. กลุ่มชั้นต่ำ ได้แก่ ข้าทาสบริวารที่ต้องใช้แรงงานรวมทั้งโขลนด้วย แต่เพราะหน้าที่รักษากฏระเบียบธรรมเนียมวังของโขลนนั้นทำให้โขลนมีอำนาจในการว่ากล่าวคนทำผิดหรือพลั้งเผลอืำผิดขนบประเพณีวัง ซึ่งโขลนจะใช้วิธีว่ากล่าว อบรมสั่งสอนต่อหน้่าธารกำนัล ทำให้ได้รับความอับาย ชาววังจึงกลัวเกรงโขลน ไม่อยากมีเรื่องราวกับโขลนอย่างที่แม่แช่มกระซิมสั่งสอนพลอยว่า
"พลอยจะอยู่ในวังต่อไปจำไว้ให้ดี อย่าไปเกิดเรื่องกับโขลน แกด่ายับเลยทีเดียว เราสู้เขาไม่ได้หรอก" ...?
ปล. ความหมายของรูปภาพต่าง ๆ ที่นำมาแสดงเรื่องจริงของจริง "สี่แผ่นดิน" เล่าเฒ่าที่รู้ ตอนที่ ๕ โดย.. ลุงใหญ่
๑. ท่าช้างวังหลวง หรือที่เรียกว่า ท่าพระ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เป็นบริเวณประตูเมืองที่นำช้างซึ่งเลี้ยงไว้ในพระบรมมหาราชวัง หรือพระราชวังหลวง ลงอาบน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา จึงเรียกกันว่า "ท่าช้างวังหลวง" ต่อมาใน พ.ศ. 2351 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระศรีศากยมุนีจากสุโขทัยมาทางแพเพื่อมาประดิษฐานที่วัดสุทัศนเทพวราราม และพักแพที่ท่าช้างวังหลวงเพื่อประกอบพระราชพิธีสมโภชเป็นเวลา 3 วัน แต่พระพุทธรูปไม่สามารถผ่านประตูเมืองบริเวณนี้ได้ จึงโปรดเกล้าฯ ให้รื้อประตูและกำแพงบางส่วนออก แล้วสร้างประตูใหม่พระราชทานนามว่า "ประตูท่าพระ" แต่ประชาชนยังคงนิยมเรียกกันว่า ท่าช้าง หรือท่าช้างวังหลวง ปัจจุบันเป็นท่าเรือข้ามฟากซึ่งเอกชนได้เช่าจากกรุงเทพมหานครมาดำเนินการ ส่วนท่าพระปัจจุบันใช้เรียกท่าเรือบริเวณใกล้เคียงท่าช้างวังหลวง และยังเป็นชื่อวังท่าพระที่ตั้งอยู่บริเวณท่าช้างวังหลวงซึ่งเป็นที่ประทับของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ปัจจุบันคือมหาวิทยาลัยศิลปากร
๒. ประตูศรีสุดาวงศ์ ประตูทางเข้าออกของผู้คนในพระราชสำนักฝ่ายใน การเข้าออกมีโขลนประตูเป็นผู้หญิง ดุมาก เฝ้าอยู่
พระสนม ออกลูกเป็นชาย ก็อยู่ด้วยกัน พอโสกันต์แล้วค่อยออกไปอยู่ข้างนอกครับ ญาติพี่น้องชาย ขออนุญาตเข้าได้ตอนกลางวัน ห้ามค้างคืน เมื่อก่อนพระสงฆ์เข้ารับบาตรได้ แต่หลังจากเกิดกรณีพระองค์เจ้ายิ่งเยาวลักษณ์ ก็ให้ผ้าแดง นับองค์กันให้แน่ใจว่า เข้าแล้วออกครบ ข้าราชการชาย มีหมายอนุญาตเข้าได้ ห้ามค้างคืนเด็ดขาด นางในไปไหนต้องมีผ้าหรือฉากกั้น และเดินคนละทางกับมหาดเล็ก เพราะเหตุนี้ในพระราชฐานชั้นใน
ประตูศรีสุดาวงศ์ หรือ ประตูดิน (เนื่องจากมีจอมปลวกอยู่ใกล้ๆ) เป็นประตูสำหรับสตรีชาววังที่มิใช่เจ้านาย มักจะมีชายหนุ่มเข้ามาแอบดู และเกี้ยวพาราณสีสาวชาววัง จนเป็นที่มาของสำนวน "เจ้าชู้ประตูดิน"
๓. กรมโขลน บทบาทและหน้าที่ของโขลนในสมัยก่อน ( ตำรวจวังที่เป็นหญิงล้วน )
โขลนเป็นผู้ตรวจตรารักษาถนนหนทาง ดูแลเรื่องความสะอาด ดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยไม่ให้มีการทะเลาะวิวาทกัน ในเขตพระราชฐานชั้นใน ความรับผิดชอบของโขลนมีมากขึ้นในปี พ.ศ. 2440 เมื่อให้มีการจัดขึ้นเป็น กรมโขลน ดังที่กล่าวไปบ้างแล้ว ดังจะเห็นได้จาก พระบรมราชโองการเกี่ยวกับการตั้งกรมโขลนและหน้าที่ของกรมโขลน ตอนหนึ่งว่า
" ทรงพระกรุณาโปรดให้จัดโขลนเปนธรรมเนียมคล้ายโปลิดให้รักษาถนนในพระบรมมหาราชวังทุกถนนทุกทางให้จัดแบ่งเขตรแดน แต่รายกำลังโปลิดจะรักษาได้ แล้วให้มีนายกำกับคนหนึ่ง สำหรับว่ากล่าว ว่ากล่าวโปลิดตลอดทุก ๆ ถนน แลจะพระราชทานเงินเดือนให้โปลิดพอเป็นเบี้ยเลี้ยง ตามผู้ได้รับราชการมากแลน้อย....ให้ผู้รับราชการในพระบรมมหาราชวังจัดเกวียนเล็ก ๆ สำหรับรับหยากเยื่อฝุ่นฝอยใบไม้ ใบตองของที่เปื้อนและเครื่องโสโครกทั้งปวงให้หญิงมหันตโทษเขนมาในพระบรมมหาราชวังเวลาเช้าให้โขลนพนักงานที่รับเครื่องรกเปื้อนบนเรือนของตัวลงมาในเกวียนซึ่งลากไปนั้น ถ้าเปนน้ำกระโถนก็ดี ฤาน้ำอื่น ๆ ซึ่งเป็นของโสโครกห้ามมิให้เทลงในเกวียนหยักเยื่อฝุ่นฝอย จะให้มีเกวียนถังไปรับต่างหาก ห้ามมิให้เทหยากเยื่อ หน้าที่ของตัว...ให้โปลิดระวังอย่าให้เกิดการทะเลาะชกตีกันในวัง ห้ามชาววัง ห้ามโปลิดกล่าวคำหยาบ "
จากพระบรมราชโองการข้างต้นทำให้เห็นภาพของโขลนในสมัยนั้น นอกจากว่า โขลนต้องทำหน้าที่เหมือนตำรวจแล้ว ยังมีอีกหน้าที่หนึ่งที่ต้องอำนวยความสะดวกในเส้นทางที่มีเสด็จพระราชดำเนินผ่าน เช่น ร้องห้ามให้คนหยุด เป็นสัณญาณว่ามีการเสด็จพระราชดำเนินผ่านที่นั้น ผู้คนทั้งปวงจะต้องหลบหลีกเปิดเส้นทางให้พร้อมกับหมอบลง หรือทำหน้าที่ปิด - เปิดประตู ให้เจ้านายเสด็จผ่าน
๔. พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้านภาพรประภา กรมหลวงทิพยรัตนกิริฎกุลินี (13 พฤษภาคม พ.ศ. 2407 - 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2501) หรือที่ถวายเรียกกันว่า เสด็จอธิบดี อธิบดีหญิงคนแรกของประเทศไทย พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้านภาพรประภา กรมหลวงทิพยรัตนกิริฎกุลินี เป็นพระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวประสูติแต่เจ้าคุณจอมมารดาสำลี เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2407 พระองค์มีพระเชษฐาและพระภคินีรวม 4 พระองค์ ได้แก่ พระองค์เจ้าชายแดง พระองค์เจ้าหญิงเขียว พระองค์เจ้าบุษบงเบิกบาน และพระองค์เจ้าสุขุมาลมารศรี ในสมัยที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จประพาสทวีปยุโรป และสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถ ได้ทรงสำเร็จราชการแผ่นดิน พระองค์เจ้าหญิงนภาพรประภานี้ได้ทรงรับราชการเป็น "เสด็จอธิบดี" ทรงว่ากล่าวควบคุมความเรียบร้อยและความเป็นไปทุกอย่างในพระบรมมหาราชวัง ร่ำลือกันว่าผู้คนนั้นเกรงกลัว "เสด็จอธิบดี" เสียยิ่งกว่า "สมเด็จรีเยนท์" (สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถ) เสียอีก
ในฐานะที่เป็นพระน้องนางร่วมพระชนนีกับ "เสด็จพระนาง" (สมเด็จพระปิตุจฉาเจ้าสุขุมาลมารศรี พระอัครราชเทวี ขณะนั้นทรงดำรงพระอิสริยยศเป็น พระนางเจ้าสุขุมาลมารศรี พระราชเทวี) พระองค์เจ้าหญิงนภาพรประภาจึงประทับอยู่ในตำหนักเดียวกัน พร้อมกับพระมารดาคือเจ้าคุณจอมมารดาสำลีในรัชกาลที่ 5 สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าสุทธาทิพยรัตน์ กรมหลวงศรีรัตนโกสินทร และสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต นอกจากนี้ยังทรงสนิทสนมกับสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า และสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถอีกด้วยในฐานะที่ทรงเป็น "พระเจ้าลูกเธอชั้นเล็ก" เช่นกัน โดยเฉพาะกับสมเด็จพระศรีพัชรินทราฯ นั้นนอกจากจะทรงวิสาสะกันในฐานะพระพี่พระน้องแล้ว ยังทรงรับผิดชอบบริหารงานราชการฝ่ายในร่วมกัน และได้ทรงเลี้ยงดูพระราชโอรสพระองค์หนึ่งในสมเด็จพระศรีพัชรินทรา (ซึ่งก็นับว่าเป็นพระราชภาติยะของพระองค์ทั้งสองฝ่าย) คือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธ กรมหลวงนครราชสีมา ถึงขนาด "ทูลกระหม่อมติ๋ว" รับสั่งว่า "หากไม่ติดเกรงพระทัยทูลกระหม่อมชาย อยากจะทูลเชิญเสด็จน้ามาประทับอยู่ด้วยกัน"ในสมัยรัชกาลที่ 7 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมสถาปนาพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้านภาพรประภาขึ้นเป็นพระองค์เจ้าต่างกรม มีพระนามตามจารึกในพระสุพรรณบัฏว่า พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงทิพยรัตนกิริฎกุลินี พระองค์นับเป็นพระราชธิดาในรัชกาลที่ 4 เพียง 1 ใน 4 พระองค์ที่ได้ทรงกรม และเป็นเพียง 1 ใน 2 พระองค์ที่ทรงกรมขณะมีพระชนม์ชีพ และพระองค์เดียวที่ได้รับการสถาปนาในรัชกาลที่ 7เจ้ากรมพระอาลักษณ์นั้น สามารถคิดพระนามกรมของพระเจ้าลูกเธอชั้น 4 ให้คล้องจองกันได้อย่างน่าอัศจรรย์ ดังเช่นเสด็จอธิบดีนั้น มิมีผู้ใดคาดว่าจะได้ทรงกรม แต่เมื่อทรงกรมแล้วอาลักษณ์ก็สามารถคิดพระนามกรมให้เรียงกันได้ดังนี้ ... นริศรานุวัดติวงศ์ - มรุพงศ์สิริพัฒน์ - ทิพยรัตนกิริฎกุลินี - สวัสดิวัดนวิศิษฎ์ - มหิศรราชหฤทัย...
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงทิพยรัตนกิริฏกุลินีทรงเคยกราบบังคมทูลลาออกจากราชการ แต่รัชกาลที่ 7 ไม่ทรงพระอนุญาต จึงทรงรับราชการเรื่อยมาจนถึงการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พระองค์จึงได้เสด็จลี้ภัยตามสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ไปประทับที่เมืองบันดุง ประเทศอินโดนีเซียในระหว่างที่ประทับรถไฟ ทรงคิดได้ว่าที่เมืองบันดุงจะหาหมากเสวยได้ยากลำบาก หากยังจะเสวยหมากอยู่อีกจะเป็นภาระและยุ่งยากนัก ด้วยความเด็ดเดี่ยวในพระทัย จึงทรงโยนเชี่ยนหมากทิ้งตรงชายแดนไทย-มาเลเซีย นับแต่นั้นมา ก็ไม่ทรงเสวยหมากอีกเลย แม้เมื่อเหตุการณ์สงบและเสด็จกลับมาเมืองไทยและประทับที่วังสวนผักกาดแล้วก็ตาม เมื่อมีพระชันษาสูงขึ้น รัชกาลที่ 9 ทรงมีรับสั่งให้สร้างตำหนักเล็กอยู่ที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์เพื่อเสด็จอธิบดีจะได้ไปประทับและไปประทับอยู่ที่นั้นตราบสิ้นพระชนม์เมื่องานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ในรัชกาลที่ 9 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงทิพยรัตนกิริฏกุลินี ในฐานะที่ทรงเป็นพระราชวงศ์ฝ่ายในที่มีพระชนม์มากที่สุด จึงทรงร่วมกับพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประดิษฐาสารีเป็นผู้ลาดพระที่ในคราวนั้นด้วย พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้านภาพรประภากรมหลวงทิพยรัตนกิริฎกุลินี สิ้นพระชนม์เมื่อปี 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2501 พระชันษา 94 ปี อธิบดีหญิงพระองค์แรกของไทย
เรื่องจริงของจริงใน "สี่แผ่นดิน" ตอนที่ ๕
โดย.. ลุงใหญ่
๑๘ มกราคม ๒๕๕๖
** เนื้อหาสาระของความคิดนั้น จะผิด ถูก ตรง ไม่ตรง
ดี ไม่ดี อย่างไร ก็เป็นเรื่องของความคิด
และขึ้นอยู่ที่ผู้อ่านว่าจะตัดสินอย่างไร เป็นสิทธิส่วนบุคคล
ลุงใหญ่ บันทึกไว้เพื่อกันลืมเท่านั้น
มิได้ตั้งใจจะสอนอะไรกับใครๆ ทั้งสิ้นครับ **
Friday, January 11, 2013
.. " สุข หรือ ทุกข์ " ..
.. ใครจะรู้บ้างไหม ว่า เราสุข หรือ ทุกข์ ..
"สุข หรือ ทุกข์ เกิดขึ้นได้ทุกวินาที"
สุขหรือทุกข์..ก็เกิดขึ้นได้ทุก ๆ วินาที..
ในหนึ่งวัน ๒๔ ชั่วโมง ถ้าคิดเป็นวินาที
แห่งความสุข - ความทุกข์ ก็จะทำให้
... เราได้เรียนรู้..และเข้าใจอย่างแท้จริงว่า...
…ภายในไม่กี่วินาที..
…เราอาจมีทั้งความสุขและ ความทุกข์ปะปนกันไป
ถ้า ๑ นาที เรามีความสุข ๖๐ วินาที
ถ้า ๑ ชั่วโมง เราก็มีความสุข ๓,๖๐๐ วินาที
ถ้า ๑ วัน เรามีความสุข ๘๖,๔๐๐ วินาที
ถ้า ๑ เดือน เราก็จะมีความสุข ๒,๕๙๒,๐๐๐ วินาที
ถ้า ๑ ปี เราก็จะมีความสุขมากถึง ๓๐,๕๓๖,๐๐๐ วินาที
ดังนั้น...
วินาทีแห่งความสุข-ความทุกข์..ของคนเรา
ตลอดระยะเวลา ๗๕ ปี ของชีวิตมนุษย์เราโดยส่วนใหญ่
ถ้าเปรียบความสุขเหมือนกับ
ก้อนเงิน-ก้อนทอง..
วินาทีแห่งความสุข-ความทุกข์..ของคนเรา
ตลอดระยะเวลา ๗๕ ปี ของชีวิตมนุษย์เราโดยส่วนใหญ่
ถ้าเปรียบความสุขเหมือนกับ
ก้อนเงิน-ก้อนทอง..
…เราก็ได้ชื่อว่า..
…เป็น “มหาเศรษฐีแห่งความสุข” พัน ๆ ล้านเลยทีเดียว..แต่จะมีใครในโลกนี้ ที่จะมีความสุขตลอดเวลา
และก็ไม่มีใครที่จะมีความทุกข์ตลอดเวลาเช่นกัน
แต่ละวินาทีของความสุข-ความทุกข์
ถ้าบวก ลบ คูณ หาร กันแล้ว..
…ผลลัพธ์ที่ออกในหนึ่งชีวิตของเรา..
... ก็ขอให้ความสุข..มากกว่า..
ความทุกข์สักนิดก็ยังดี..
เพราะทุกคนที่เกิดมา..
ก็ปรารถนาความสุข..เกลียด-กลัว..
ความทุกข์กันทุกคน..
…แต่ขอให้รู้ว่า...
...ไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์..
เมื่อเกิดมีขึ้นแล้ว...เราจะต้องทนทุกข์นานนับปีเชียวหรือ ???
เพียงแค่ทุกข์ไม่กี่วินาที..
ก็ทำให้เราเจ็บมาพอแล้ว...
แต่อย่างน้อย ๆ...
เราก็ได้ชื่อว่า..ได้ลิ้มลองรสชาติของทุกข์..ว่าเป็นเช่นไร..????
จะสุขหรือทุกข์..จะมากหรือน้อย..
ก็ขึ้นอยู่กับการปรับสภาพของจิตใจ...
เพียงแค่ปรับความรู้สึก..
…ถ้าทุกข์...ก็อย่ามัวแต่ร่ำร้อง คร่ำครวญ ทุรน-ทุราย
....หรือคิดน้อยเนื้อต่ำใจกับสภาพที่เป็นเช่นนั้น
....หรือนั่งเศร้า ระทมทุกข์กับมัน..
ถ้ารู้ว่า..อ๋อ..นี่มันคือ..ทุกข์..
ก็พยายามทำความรู้จักกับมัน..
พอเราเริ่มรู้จักกับมัน..และทนต่อสภาวะอาการต่าง ๆ ของมันได้...
เราก็จะเริ่มคุ้นชินกับมัน...และเข้าใจมัน..
…จนในที่สุด..
...ความทุกข์นั้นก็กลับกลายเป็นความสุขทันที...
…ที่เราเข้าใจมันอย่างแท้จริง....
หรือบางครั้งที่เราคิดว่า “เรามีความสุข”
พอใจแล้วละ ชอบใจแล้วละ
สุขกว่านี้คงไม่มีแล้วละ..
แต่พอความทุกข์มากกระทบนิดหน่อย..
…ใจของเราก็มักโต้ตอบกลับทันทีว่า..
…เอ้า..ไหนบอกว่า..สุขไง ????..
แต่พอเริ่มคุ้นชินกับมัน..
คิดว่า.. “สุขสบาย”...
เดี๋ยวความทุกข์มันก็มาทดสอบใจ
ของเราอีกนั่นแหละ...
เพราะฉะนั้น..
เราจึงต้องรู้จักที่จะปรับเปลี่ยนตนเองได้ทุก ๆ สถานการณ์
ถ้าทุกข์มากระทบ...ก็เตรียมปรับใจให้เป็นสุขได้ตลอดเวลา..
ถ้าสุขมากระทบ......ก็พร้อมรับความทุกข์ที่จะเกิดขึ้นอีกไม่วินาทีข้างหน้า..
…เพราะความสุขกับความทุกข์..
…มันอยู่ใกล้ชิดกันนิดเดียว...เหมือนกับหน้ามือ-หลังมือ..
…เพียงแค่หงาย...ก็สุข
เป็นทุกข์...ก็แค่คว่ำ...
ดังนั้น...
ถ้ารู้เช่นนี้แล้ว...
อย่าเกลียด-กลัวความทุกข์เลย
แล้วชื่นชม-ชื่นชอบแต่ความสุขเลย
เพราะในสุขก็มีทุกข์ ในทุกข์ก็มีสุขปะปนกัน
ปล. สุข หรือ ทุกข์ ให้กลับมาจะเตรียม
รักไว้ให้ ... " มากกว่ารัก " แด่เธอ..?
"ขอให้เธอจงมีสุขอย่างยิ่ง" เจริญพร
โดย.. ลุงใหญ่ 10-1-13ดูเพิ่มเติม
แด่เธอ .. "ให้เป็นเหมือนยารักษาใจ"
แด่เธอ .. "ให้เป็นเหมือนยารักษาใจ"
... เพราะนี่คือวันแห่งดอกไม้บาน
ม่วงจะหวานเหลืองจะไหวในแดดจ้า
มาเติมไฟความฝันในสัญญา
ว่าจะแกร่งว่าจะกล้าเมื่อกลับไป ..
โดย.. ลุงใหญ่ 9-1-13
... เพราะนี่คือวันแห่งดอกไม้บาน
ม่วงจะหวานเหลืองจะไหวในแดดจ้า
มาเติมไฟความฝันในสัญญา
ว่าจะแกร่งว่าจะกล้าเมื่อกลับไป ..
โดย.. ลุงใหญ่ 9-1-13
..... การทำ " ความดี " .....
..... การทำ "ความดี" ต้องวางใจให้เป็น
ไม่ควรปล่อยให้ใจหมอง..เมื่อกระทบกับ
กระแสอันเชี่ยวแรงของความเห็นแก่ตัว
ของคนอื่นๆ
.. ควรมองว่านั่นคือบททดสอบหลักการ
และความมั่นคงในการทำสิ่งที่เหมาะสม
และสิ่งที่ควรจะพึ่งกระทำ (ทำเป็นธรรม)
โดย.. ลุงใหญ่ 9-1-13
ไม่ควรปล่อยให้ใจหมอง..เมื่อกระทบกับ
กระแสอันเชี่ยวแรงของความเห็นแก่ตัว
ของคนอื่นๆ
.. ควรมองว่านั่นคือบททดสอบหลักการ
และความมั่นคงในการทำสิ่งที่เหมาะสม
และสิ่งที่ควรจะพึ่งกระทำ (ทำเป็นธรรม)
โดย.. ลุงใหญ่ 9-1-13
.. ความรู้สึกผิด ..
.. ความรู้สึกผิด ..
.. หากว่าได้คิด หรือ ทำอะไรผิดไปแล้ว
เมื่อรู้สึกก็ต้องยอมเปลี่ยนควา
.. เมื่อได้ผิดไปแล้วก็ต้องก้มหน้า
ตามควร แล้วจึงค่อยตั้งใจประพฤติตน
ให้ดีต่อไป อย่างนี้เขาจึงจะเรียกว่าเป็น
คนกล้าแท้..
.. ผู้ที่ทำผิดแล้วไม่รับผิด นับว่าเป็นคนขลาด ไม่สมควรที่จะเป็นคน ..
.. ผู้ที่ประพฤติผิดไปแล้ว ยอมสารภาพรับผิด นับว่าควรชม และชื่นชม ..
ปล. ถึงเจ้ เจ้ และ น้อง ๆ ของเจ้ทั้งหลาย
ถ้าเมื่อได้ทำผิดไปแล้วรู้สึกผิ
ควรที่จะสารภาพเสียดีกว่าที่จะม ัวถือทิฐิมานะอยู่
และควรที่จะพูดคำว่า "ขอโทษ" ออกมา
จากข้างในบ้างก็ดีนะครับ ..... สวัสดี
และควรที่จะพูดคำว่า "ขอโทษ" ออกมา
จากข้างในบ้างก็ดีนะครับ ..... สวัสดี
โดย.. ลุงใหญ่ 08-01-13
.. ความรักร้ายกาจ ...? ..
.. ความรักร้ายกาจได้เพียงไหน
หรือว่ามันเกิดจากเรา รู้ว่ามันร้ายกาจ
ได้ทุกเรื่องเมื่อเธอกลับมา...?
เธอ... เขา... และรักของเรา
@ แมคโดนัลด บำรุงราษฎร์ @
โดย.. ลุงใหญ่ 7-1-56
หรือว่ามันเกิดจากเรา รู้ว่ามันร้ายกาจ
ได้ทุกเรื่องเมื่อเธอกลับมา...?
เธอ... เขา... และรักของเรา
@ แมคโดนัลด บำรุงราษฎร์ @
โดย.. ลุงใหญ่ 7-1-56
.. " ตามรู้ไจ " ..
.. "ตามรู้ไจ" .. หน้าที่เราคือการตามรู้
ใจของเรานี้มันไม่เที่ยงแท้ เปลี่ยนอยู่ตลอด
เดี๋ยวก็คิดถึงคนนั้น แล้วก็เปลี่ยนไปคิดถึงคนนี้ ..?
.. เมื่อสังเกตเราจะเข้าใจและเห็นว่าจริง
ใจของเรานี้มันไม่เที่ยงแท้ เปลี่ยนอยู่ตลอด
เดี๋ยวก็คิดถึงคนนั้น แล้วก็เปลี่ยนไปคิดถึงคนนี้ ..?
.. เมื่อสังเกตเราจะเข้าใจและเห็นว่าจริง
ความคิดของเรานั้นเปลี่ยนอยู่ตลอด แล้วเราก็จะเยือกเย็นขึ้น
ไม่วิ่...งเต้นตามใจตัวเองมากเกินไป แต่ถ้าเรามองไม่เห็น
และไม่รู้ความจริงนี้ เราก็จะไปเกาะติดอยู่กับเรื่องต่างๆ ตามที่ใจคิด
เมื่อใจเราเปลี่ยนมากๆเข้า เราก็จะรู้สึกเร่าร้อนและเหนื่อย..
.. สาระสำคัญและประโยชน์ของการ "ตามรู้ใจ" อยู่ตรงที่
.. สาระสำคัญและประโยชน์ของการ "ตามรู้ใจ" อยู่ตรงที่
เราจะสามารถมองเห็นธรรมชาติที่แท้จริงของใจ
เห็นการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เห็นการหมดไปของสิ่งที่มาปรากฎ
เห็นการดับไปของความคิด และหน้าที่ของเราก็คือ
ตามรับรูู้ความเปลี่ยนแปลงไปของใจไม่ใช่ไปรับ
สิ่งที่ใจคิดมาคิดปรุงแต่งต่อ
สิ่งที่ใจคิดมาคิดปรุงแต่งต่อ
.. ผู้ที่ไม่เคยเฝ้าตามดูใจก็อาจจะเถียงว่า
ใจสามารถคิดถึงเรื่องเดียวนานๆได้
เพราะเคยมีประสบการณ์บางเรื่องที่ลืมไม่ลง
เฝ้าคิดถึงแล้วคิดถึงอีก ก็เลยเข้าใจ นั่นเรียกว่าการคิดเรื่องเดียว
แต่จริงๆแล้วนั่นเป็นการเข้าใจผิด เพราะไม่ได้ตามสังเกต
ดูความเปลี่ยนแปลงของใจให้ละเอียดพอ
.. หากตามดูใจอย่างละเอีดยแล้วจะเห็นว่า
.. หากตามดูใจอย่างละเอีดยแล้วจะเห็นว่า
แม้ใจ จะคิดถึงสิ่งนั้นสิ่งนั้นอยู่ตลอด แต่ใจจะเปลี่ยนวิธีคิดไปเรื่อยๆ
คือ คิดถึงในมุมนั้นมุมนี้ เมื่อคิดจบแล้วก็เปลี่ยนมุมคิดใหม่
คิดจบอีกก็เปลี่ยนอีก เป็นอยู่อย่างนี้ตลอด
เพราะฉะนั้นลุงใหญ่จึงขอบอกว่า การคิดนั้นเราไม่ต้องฝึกแล้ว
เพราะเป็นความสามารถพิเศษที่มีอยู่แล้วโดยธรรมชาติของใจ
เป็นเรื่องของใจทำได้ดีอยู่แล้ว แต่การเฝ้ามองใจคิดต่างหากที่จะต้องฝึก และฝึก
ปล. ดังนั้นเราต้องมองเห็นคุณค่าของทุกๆอารมณ์ ทุกๆความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับใจให้เท่ากันให้ได้ ไม่ว่าจะฟุ้งหรือสงบก็มีคุณค่าเท่ากัน หากอารมณ์นั้นสามารถทำให้เกิดสติสัมปชัญญะ เกิดปัญญา มองเห็นอนิจจังทุกขัง อนัตตาได้อยู่ที่รู้ นี่คือ "ตามรู้ใจ"
ปล. ดังนั้นเราต้องมองเห็นคุณค่าของทุกๆอารมณ์ ทุกๆความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับใจให้เท่ากันให้ได้ ไม่ว่าจะฟุ้งหรือสงบก็มีคุณค่าเท่ากัน หากอารมณ์นั้นสามารถทำให้เกิดสติสัมปชัญญะ เกิดปัญญา มองเห็นอนิจจังทุกขัง อนัตตาได้อยู่ที่รู้ นี่คือ "ตามรู้ใจ"
โดย.. ลุงใหญ่ 07-01-56
.. "ชีวิต และ ความหวัง" ..
แด่เธอ .. สมหวัง 05-01-56
..... ชีวิต และ ความหวัง .....
.. เหมือนท่องกระแสธารกาลเวลา
คือการเดินทางมาโดยเคลื่อนไหว
ผ่านร้อนผ่านหนาว ณ คราวใด
ก็หมายใจว่าจะมีปีใหม่มา
... .. ให้ชีวิตมีคืนวันการเริ่มต้น
เพื่อเสาะค้นเส้นทางแสวงหา
เพื่อลบความหลังอันค้างรา
เพื่อกล้าก้าวใหม่ในอีกปี
.. ที่ร้าวรอนอ่อนล้าจะกล้าฝัน
โดยรอวันเคลื่อนจักรราศี
ที่จะเริ่มตั้งต้นเป็นคนดี
โดยวิถีที่สว่างกว่าวันวาน
.. โดยเชื่อว่าวันพรุ่งนี้จะมีพร
จากแววตาอาทรสวยสะอ้าน
หัวใจจักมีดนตรีการ
เป็นความหวานความหวังหว่างวันวัย
เป็นความหวานความหวังหว่างวันวัย
.. ที่เคยผิดพลาดหรืออาจพลั้ง
ก็กล้าหวังว่าจะมีวันปีใหม่
มีความงามความฝันความมั่นใจ
มีเปลวประกายไฟในดวงตา
ก็กล้าหวังว่าจะมีวันปีใหม่
มีความงามความฝันความมั่นใจ
มีเปลวประกายไฟในดวงตา
.. ซึ่งจะสวยเหมือนแดดใสในวันหนาว
และอุ่นราวลำแสงแรกอุษา
การเดินทางที่ผ่านกาลเวลา
จะตั้งความปรารถนาไว้ยาวนาน
.. ว่าปีใหม่จะต้องดีกว่าปีเก่า
บนเส้นทางที่รอยเท้าจะก้าวผ่าน
กลีบดอกไม้แบบบางจะเบ่งบาน
มีทิพย์ธารให้จิบประจงใจ
บนเส้นทางที่รอยเท้าจะก้าวผ่าน
กลีบดอกไม้แบบบางจะเบ่งบาน
มีทิพย์ธารให้จิบประจงใจ
.. มีเพลงคำพรซึ่งแผ่วขาน
กล่อมชีวิตจิตวิญญาณอยู่หวานไหว
ให้คืนให้วันที่ผ่านไป
เพิ่มคุณค่าใหม่ประมวลมา
กล่อมชีวิตจิตวิญญาณอยู่หวานไหว
ให้คืนให้วันที่ผ่านไป
เพิ่มคุณค่าใหม่ประมวลมา
.. คือวันพรุ่งนี้ในชีวิต
ค้างอยู่ในความคิดอันโหยหา
ว่าจะมีปีใหม่ในชีวา
จะมีความเติบกล้าไปตามกาล
ค้างอยู่ในความคิดอันโหยหา
ว่าจะมีปีใหม่ในชีวา
จะมีความเติบกล้าไปตามกาล
.. คืนวันหมุนวงล้อกาลเวลา
ชีวิตเหมือนเดินทางมาร่วมโดยสาร
จะมีฝันและมีจินตนาการ
ให้หวานความหวังไปทั้งปี...
ชีวิตเหมือนเดินทางมาร่วมโดยสาร
จะมีฝันและมีจินตนาการ
ให้หวานความหวังไปทั้งปี...
ปล. ไม่มีใครอ่อนแอได้ตลอดเวลา
และไม่มีใครเข้มแข็งอยู่นิรันดร
ถ้าวันนี้เรายังมีแรง มีพลังความหวังอยู่
อย่าลืมช่วยคนข้างๆกาย หรือคนที่เราได้พบเจอ
และไม่มีใครเข้มแข็งอยู่นิรันดร
ถ้าวันนี้เรายังมีแรง มีพลังความหวังอยู่
อย่าลืมช่วยคนข้างๆกาย หรือคนที่เราได้พบเจอ
และอย่าลืมดูแลคนที่ดูแลคุณ
.. ความหวังเป็นเหมือนแสงตะวันของชีวิต
ในยามที่มีชีวิตมืดมิดไปทุกด้าน อย่าลืมจุดแสงแห่งหวังไว้..
ในยามที่มีชีวิตมืดมิดไปทุกด้าน อย่าลืมจุดแสงแห่งหวังไว้..
เพราะถ้าไม่มีแสงนี้แล้วชีวิตอาจพเนจรร่อนเร่ไร้จุดหมาย
และจมลงไปในความมืดมิดแห่งความทุกข์ตลอดไป
จงอดทนและเข้มแข็งพอที่จะรอดวงตะวัน
จงอดทนและเข้มแข็งพอที่จะรอดวงตะวัน
โผล่พ้นขอบฟ้าในยามรุ่งอรุณ เพื่อที่จะได้มองเห็นโลกสว่างไสว
อบอุ่นและสวยงามขึ้นอีกครั้งหนึ่ง..ขอให้สมหวังนะครับคนดี..?
โดย.. ลุงใหญ่ 6-1-56
" สุข หรือ ทุกข์ ให้กลับมา " ..
แด่เธอ .. อันเป็นที่รัก ของใคร..ใคร
..... สุข หรือ ทุกข์ ให้กลับมา .....
จะเตรียมรักเอาไว้ให้ .. "มากกว่ารัก"
โดย.. ลุงใหญ่ 04-01-56
..... สุข หรือ ทุกข์ ให้กลับมา .....
จะเตรียมรักเอาไว้ให้ .. "มากกว่ารัก"
โดย.. ลุงใหญ่ 04-01-56
Thursday, January 10, 2013
แด่เธอ ณ สมหวัง "เดี๋ยวจะโดนมิใช่น้อย"
(สมหวัง กับ คาดหวัง คือ สิ่งที่คาดไม่ถึง)
ความหวังทำให้หัวใจอบอุ่น.....แต่ความคาดหวังกลับทำให้ชีวิตร้อนรนดังนั้นการที่เราจะคาดหวังให้ใครคนนั้นเป็นอย่างนั้น...ให้คนนี้เป็นอย่างนี้จึงเป็นเรื่องที่ลำบาก ต่อการมีชีวิตกับความคาดหวัง
บ่อยครั้งที่คนเรารู้สึกผิดกับหลายๆอย่างที่ได้ทำลงไป บ่อยครั้งที่เราอยากแก้ตัวใหม่ อยากที่จะย้อนเวลากลับไปแก้ไขอดีต นั่นก็เพราะตัวของเราเองยังไม่ดีอย่างที่เราคิดนั่นเอง แล้วเราจะไปหวังให้คนอื่นๆเป็นได้ดังใจของเราได้อย่างไร
การที่เราคบใครสักคนต้องใช้เวลามหาศาล....เวลาเช่นนั้นจึงมาแบ่งชีวิตของเราจากโลกที่เราเคยมีโอกาส ทำสิ่งต่างๆตามอำเภอใจออกไป..เฉกเช่นการวาดรูปภาพด้วยสีน้ำมัน ต้องอาศัยพู่กันหลายขนาด อาจต้องใช้สีหลายประเภท ต้องมีการลบ การแก้ไข วาดใหม่อยู่หลายครั้งหลายครา
แม้กระนั้นภาพที่ปรากฎออกมา อาจไม่เป็นเหมือนที่เราฝันไว้ก็ได้ แต่การวาดรูปดังกล่าว...อย่างน้อยก็ควรจะต้องมีอะไรสักอย่าง ที่ไปในทิศทางเดียวกันบ้าง เช่นโทนสี ถึงจะไม่ใช่โทนเดียวกัน แต่ก็ไม่ควรขัดแย้งกันจนดูผิดไปจากความตั้งใจ
ดังนั้นถ้าจะเปรียบกับการคบหาสมาคมกันแล้ว แม้ไม่จำเป็นจะต้องเหมือนกันทุกอย่าง แต่ก็ไม่ควรที่จะต่างกันไปทุกเรื่อง
หากแม้คนที่เราคบบางคนไม่ได้เป็นและไม่ใช่อย่างที่เราคิด ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก...เพราะบางทีก็ต้องปล่อยให้ชีวิตมันได้เรียนรู้บ้าง
ขึ้นชื่อว่าคน มีทั้งดีบ้าง...เลวบ้าง ......ใช่บ้าง..ไม่ใช่บ้าง จึงไม่ใช่เรื่องใหญ่ที่เราจะต้องเกิดความปวดร้าวเลย...เพราะจิตใจนั้นมีกลไกที่สลับซับซ้อนมีความรู้สึกที่ยากหยั่งถึง จนแม้แต่ตนเองก็ไม่สามารถบอกอะไรได้ว่า...ตนเองเป็นอะไรไป ด้วยทุกคนรู้ว่า.... "สิ่งที่เข้าใจยากที่สุด คือสิ่งที่ไม่มีวันเข้าใจ"....
จิตใจคนเรานั้นอยู่เหนือการควบคุม ...เมื่อสุดความสามารถแล้วก็จงปล่อยมันไป อย่าเก็บกลุ้มจนเป็นปัญหา....เพราะปัญหานั้นจะจับเราโยนเหวี่ยงเข้าไปขังในห้องมืดทึบอย่างแรง แต่ทว่าพลาดไปก็ไม่จำเป็นต้องตกใจมากมาย จนเสมือนรีบร้อนหาทางออกมา
หยุดนิ่งๆ นั่งปรับใจ...ปรับอารมณ์..เสมือนปรับสายตาให้เคยชินสักพัก การที่เราปลีกตนเองออกมาเงียบๆไม่มีคนรบกวน ทำให้เรามีเวลาทบทวนอะไรต่างๆมากขึ้น โดยให้กำลังใจตนเองด้วยความจริงว่า..
ห้องทุกห้องในโลกนี้ย่อมมีประตู แต่เพราะความมืดมีมากจึงทำให้เราหาประตูนั้นยากสักนิด จงอย่าท้อถอย...แสงสว่างที่ลอดมาจากช่องประตูอาจเลื่อนรางยิ่งนักแต่นั่นก็เป็นสิ่งเดียวที่จะบอกเราได้ว่า...เรายังมีความหวัง ด้วยเพราะแสงสว่างเพียงเล็กน้อยนั้นนั่นเอง..
ความจริงที่เราทุก ๆ คนไม่อาจโต้แย้งได้นั้น ก็คือ..เราแต่ละคนมีความรักตัวเองเป็นอย่างยิ่ง
มีพุทธภาษิตตรัสไว้ว่า....ทรงตรวจดูไปทั่วทิศทั้งปวงแล้ว
ก็ทรงพบว่าตนเองนี่แหละเป็นที่รักของตน
เพราะฉะนั้นเมื่อรักตนและมีความยึดชีวิตยิ่งอย่างนี้ สิ่งที่ต้องกลัวด้วยกันทั้งนั้นก็คือ...กลัวตาย เพราะความตายนั้น เป็นสิ่งที่มาเด็ดเอาสิ่งที่รักยิ่งไป
คือมาตัดรอนตน...ฆ่าตนนี้เองให้สิ้นไป
หรือหากจะเปรียบชีวิตของคนเราก็เหมือนใบไม้...ก็เป็นใบไม้ที่ไม่รู้วันร่วงหล่นของตนเอง เมื่อถึงเวลาที่ปลิดขั้ว....ก็เพียงปลิดปลิวลงจากกิ่งก้าน ใบไม้สีน้ำตาลที่ร่วงหล่นตามกาลเวลา ก็ได้ทำหน้าที่ของมันมาแล้วอย่างดี หน้าที่ที่ได้เคยมอบร่มเงาให้ผู้คนได้พักพิง เคยให้อากาศยามเช้า และให้ความสดชื่นอวดใบที่สะพรั่งให้ต้นไม้สวยงามและสมบรูณ์ก่อนที่จะปลิดปลิวลงสู่พื้นดิน
หลากหลายเหตุผล ที่ทำให้ใบไม้สีเขียวต้องร่วงหล่น ด้วยเพราะแรงลม และบางใบก็โดนเด็ดเล่น...จะเห็นได้ว่าทุกอย่างอยู่เหนือการคาดคิด... และเกินกว่าจะตั้งตัวทัน เช่นเดียวกับชีวิตของเราทั้งหลายที่ยังมีชีวิตอยู่..ไม่อาจกำหนดวันสุดท้ายของตนเองได้
แต่ถึงอย่างไรก็ต้องมีวันสุดท้ายด้วยกันทั่วถ้วน..จึงไม่ควรลังเล ที่จะรอเวลาที่จะทำประโยชน์ให้กับโลก...เพราะโลกไม่มีเวลาให้ใครมากพอ
๏ ๏ อย่ารอถึงวันพรุ่งนี้..
เพราะพรุ่งนี้ไม่เคยมีมาถึง
วันนี้เท่านั้น..วันนี้..จงเริ่มต้นเป็นร่มเงา
เป็นที่พักพิง เป็นทุก ๆ อย่างเท่าที่สามารถเป็น
จงเริ่มหยิบยื่นน้ำใจไมตรีให้คนรอบข้าง
คนทีเรารัก คนที่เรารู้จัก..และคนแปลกหน้า เพราะหากถึงเวลาดังเช่นใบไม้ใบนั้น เราจะได้ไม่ต้องถามว่า....มีอะไรอีกไหมที่เรายังไม่ได้ทำ เพราะกาลเวลา..ที่นำพาทุกอย่างมาสู่ชีวิต และก็พร้อมที่จะเอากลับคืนทุกวินาที....จึงควรสะสมคุณค่าแห่งความดีให้มีมากขึ้นในตัวเองเถิด
ปล.เพราะขณะที่เราใช้เวลามากขึ้น ๆๆ..ชีวิตของเราก็เหลือน้อยลงทุกที ถ้าเราไม่สร้างประโยชน์ทิ้งไว้...สักวันชีวิตเราก็จะหายไปจากโลกโดยไม่เหลืออะไรเลย..?
ด้วยความปรารถนาดีเสมอครับ
โดย.. ลุงใหญ่ 11-01-13
http://big-jing.blogspot.com/?m1
ความหวังทำให้หัวใจอบอุ่น.....แต่ความคาดหวังกลับทำให้ชีวิตร้อนรนดังนั้นการที่เราจะคาดหวังให้ใครคนนั้นเป็นอย่างนั้น...ให้คนนี้เป็นอย่างนี้จึงเป็นเรื่องที่ลำบาก ต่อการมีชีวิตกับความคาดหวัง
บ่อยครั้งที่คนเรารู้สึกผิดกับหลายๆอย่างที่ได้ทำลงไป บ่อยครั้งที่เราอยากแก้ตัวใหม่ อยากที่จะย้อนเวลากลับไปแก้ไขอดีต นั่นก็เพราะตัวของเราเองยังไม่ดีอย่างที่เราคิดนั่นเอง แล้วเราจะไปหวังให้คนอื่นๆเป็นได้ดังใจของเราได้อย่างไร
การที่เราคบใครสักคนต้องใช้เวลามหาศาล....เวลาเช่นนั้นจึงมาแบ่งชีวิตของเราจากโลกที่เราเคยมีโอกาส ทำสิ่งต่างๆตามอำเภอใจออกไป..เฉกเช่นการวาดรูปภาพด้วยสีน้ำมัน ต้องอาศัยพู่กันหลายขนาด อาจต้องใช้สีหลายประเภท ต้องมีการลบ การแก้ไข วาดใหม่อยู่หลายครั้งหลายครา
แม้กระนั้นภาพที่ปรากฎออกมา อาจไม่เป็นเหมือนที่เราฝันไว้ก็ได้ แต่การวาดรูปดังกล่าว...อย่างน้อยก็ควรจะต้องมีอะไรสักอย่าง ที่ไปในทิศทางเดียวกันบ้าง เช่นโทนสี ถึงจะไม่ใช่โทนเดียวกัน แต่ก็ไม่ควรขัดแย้งกันจนดูผิดไปจากความตั้งใจ
ดังนั้นถ้าจะเปรียบกับการคบหาสมาคมกันแล้ว แม้ไม่จำเป็นจะต้องเหมือนกันทุกอย่าง แต่ก็ไม่ควรที่จะต่างกันไปทุกเรื่อง
หากแม้คนที่เราคบบางคนไม่ได้เป็นและไม่ใช่อย่างที่เราคิด ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก...เพราะบางทีก็ต้องปล่อยให้ชีวิตมันได้เรียนรู้บ้าง
ขึ้นชื่อว่าคน มีทั้งดีบ้าง...เลวบ้าง ......ใช่บ้าง..ไม่ใช่บ้าง จึงไม่ใช่เรื่องใหญ่ที่เราจะต้องเกิดความปวดร้าวเลย...เพราะจิตใจนั้นมีกลไกที่สลับซับซ้อนมีความรู้สึกที่ยากหยั่งถึง จนแม้แต่ตนเองก็ไม่สามารถบอกอะไรได้ว่า...ตนเองเป็นอะไรไป ด้วยทุกคนรู้ว่า.... "สิ่งที่เข้าใจยากที่สุด คือสิ่งที่ไม่มีวันเข้าใจ"....
จิตใจคนเรานั้นอยู่เหนือการควบคุม ...เมื่อสุดความสามารถแล้วก็จงปล่อยมันไป อย่าเก็บกลุ้มจนเป็นปัญหา....เพราะปัญหานั้นจะจับเราโยนเหวี่ยงเข้าไปขังในห้องมืดทึบอย่างแรง แต่ทว่าพลาดไปก็ไม่จำเป็นต้องตกใจมากมาย จนเสมือนรีบร้อนหาทางออกมา
หยุดนิ่งๆ นั่งปรับใจ...ปรับอารมณ์..เสมือนปรับสายตาให้เคยชินสักพัก การที่เราปลีกตนเองออกมาเงียบๆไม่มีคนรบกวน ทำให้เรามีเวลาทบทวนอะไรต่างๆมากขึ้น โดยให้กำลังใจตนเองด้วยความจริงว่า..
ห้องทุกห้องในโลกนี้ย่อมมีประตู แต่เพราะความมืดมีมากจึงทำให้เราหาประตูนั้นยากสักนิด จงอย่าท้อถอย...แสงสว่างที่ลอดมาจากช่องประตูอาจเลื่อนรางยิ่งนักแต่นั่นก็เป็นสิ่งเดียวที่จะบอกเราได้ว่า...เรายังมีความหวัง ด้วยเพราะแสงสว่างเพียงเล็กน้อยนั้นนั่นเอง..
ความจริงที่เราทุก ๆ คนไม่อาจโต้แย้งได้นั้น ก็คือ..เราแต่ละคนมีความรักตัวเองเป็นอย่างยิ่ง
มีพุทธภาษิตตรัสไว้ว่า....ทรงตรวจดูไปทั่วทิศทั้งปวงแล้ว
ก็ทรงพบว่าตนเองนี่แหละเป็นที่รักของตน
เพราะฉะนั้นเมื่อรักตนและมีความยึดชีวิตยิ่งอย่างนี้ สิ่งที่ต้องกลัวด้วยกันทั้งนั้นก็คือ...กลัวตาย เพราะความตายนั้น เป็นสิ่งที่มาเด็ดเอาสิ่งที่รักยิ่งไป
คือมาตัดรอนตน...ฆ่าตนนี้เองให้สิ้นไป
หรือหากจะเปรียบชีวิตของคนเราก็เหมือนใบไม้...ก็เป็นใบไม้ที่ไม่รู้วันร่วงหล่นของตนเอง เมื่อถึงเวลาที่ปลิดขั้ว....ก็เพียงปลิดปลิวลงจากกิ่งก้าน ใบไม้สีน้ำตาลที่ร่วงหล่นตามกาลเวลา ก็ได้ทำหน้าที่ของมันมาแล้วอย่างดี หน้าที่ที่ได้เคยมอบร่มเงาให้ผู้คนได้พักพิง เคยให้อากาศยามเช้า และให้ความสดชื่นอวดใบที่สะพรั่งให้ต้นไม้สวยงามและสมบรูณ์ก่อนที่จะปลิดปลิวลงสู่พื้นดิน
หลากหลายเหตุผล ที่ทำให้ใบไม้สีเขียวต้องร่วงหล่น ด้วยเพราะแรงลม และบางใบก็โดนเด็ดเล่น...จะเห็นได้ว่าทุกอย่างอยู่เหนือการคาดคิด... และเกินกว่าจะตั้งตัวทัน เช่นเดียวกับชีวิตของเราทั้งหลายที่ยังมีชีวิตอยู่..ไม่อาจกำหนดวันสุดท้ายของตนเองได้
แต่ถึงอย่างไรก็ต้องมีวันสุดท้ายด้วยกันทั่วถ้วน..จึงไม่ควรลังเล ที่จะรอเวลาที่จะทำประโยชน์ให้กับโลก...เพราะโลกไม่มีเวลาให้ใครมากพอ
๏ ๏ อย่ารอถึงวันพรุ่งนี้..
เพราะพรุ่งนี้ไม่เคยมีมาถึง
วันนี้เท่านั้น..วันนี้..จงเริ่มต้นเป็นร่มเงา
เป็นที่พักพิง เป็นทุก ๆ อย่างเท่าที่สามารถเป็น
จงเริ่มหยิบยื่นน้ำใจไมตรีให้คนรอบข้าง
คนทีเรารัก คนที่เรารู้จัก..และคนแปลกหน้า เพราะหากถึงเวลาดังเช่นใบไม้ใบนั้น เราจะได้ไม่ต้องถามว่า....มีอะไรอีกไหมที่เรายังไม่ได้ทำ เพราะกาลเวลา..ที่นำพาทุกอย่างมาสู่ชีวิต และก็พร้อมที่จะเอากลับคืนทุกวินาที....จึงควรสะสมคุณค่าแห่งความดีให้มีมากขึ้นในตัวเองเถิด
ปล.เพราะขณะที่เราใช้เวลามากขึ้น ๆๆ..ชีวิตของเราก็เหลือน้อยลงทุกที ถ้าเราไม่สร้างประโยชน์ทิ้งไว้...สักวันชีวิตเราก็จะหายไปจากโลกโดยไม่เหลืออะไรเลย..?
ด้วยความปรารถนาดีเสมอครับ
โดย.. ลุงใหญ่ 11-01-13
http://big-jing.blogspot.com/?m1
.. เล่าเฒ่าที่รู้ .. "สี่แผ่นดิน" ตอนที่ ๔
"วังหลวง"
.. พลอยมีโอกาสได้เห็นวังหลวงครั้งแรก เมื่อแม่แช่มพาพลอยจากบ้านฟากข้างโน้นมาเพื่อถวายตัวกับเสด็จ แม่แช่มอธิบายคำว่า "วังหลวง" ให้พลอยให้ฟังว่า
"วังหลวงก็เป็นของพระเจ้าอยู่หัวท่านซีลูก ที่พลอยเห็นนั่นแหละ เป็นที่ประทับของท่านทั้งนั้น เสด็จและเจ้านายอื่นๆ ท่านมีตำหนักอยู่ข้างใน"
.. วังหลวงที่แม่แช่มพูดถึงก็คือ พระบรมมหาราชวังอาณาเขตกว้างขวางในพระบรมมหาราชวังแบ่งออกเป็น ๔ ส่วน คือ
๑. ส่วนที่เป็นพระราชฐานชั้นนอก อยู่รอบนอกกำแพงชั้นในของพระบรมมหาราชวัง
๒. ส่วนที่เป็นพระราชฐานชั้นกลาง
๓. ส่วนที่เป็นพระราชฐานชั้นใน
๔. ส่วนที่เป็นวัดพีะศรีรัตนศาสดาราม
.. สถานที่ที่แม่แช่มจะพาพลอยเข้าไปนั้น คือ ส่วนที่เป็น "พระราชฐานชั้นใน" ถือเป็นที่ "รโหฐานส่วนพระองค์ของพระมหากษัตริย์" เพราะเป็นที่ประทับและที่อยู่ของพระมเหสีเทวี เจ้าจอมมารดา เจ้าจอม ตลอดจนเหล่าข้าราชบริพาร พนักงานซึ่งล้วนเป็นสตรีทั้งสิ้น..
.. ส่วนประกอบสำคัญในเขตพระราชชั้นใน คือ พระตำหนักที่ประทับของเจ้านาย ซึ่งมีทั้งขนาดเล็กขนาดใหญ่ ทั้งเก่าและใหม่
พระตำหนักที่เก่าที่สุดที่คงเหลืออยู่ คือ พระตำหนักที่สร้างขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
ลักษณะสำคัญเป็นตำหนักตึกชันเดียว เตี้ยและหนาทึบคล้ายกุฏิวัดในสมัยโบราณ ส่วนพระตำหนักอื่นๆ ได้รับการบรูณปฏิสังขรณ์และสร้างขึ้นใหม่บ้าง เพราะจำนวนผู้คนที่เพิ่มขึ้นทุกรัชกาล ลักษณะของพระตำหนักก็เปลี่ยนไป เช่นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ลักษณะพระตำหนักจะมีส่วนผสมของศิลปะตะวันตกบ้าง คือเป็นอาคารก่ออิฐถือปูน ๒ ชั้น ดูสง่างามด้วยเสาสูง แลดูโปร่งสบายขึ้นด้วยระเบียงด้านหน้า แต่ยังคงไม่ทิ้งลักษณะหนาหนักและมั่นคง พระตำหนักที่ทันสมัยที่สุด ก็คือ
พระตำหนักที่สร้างใหม่ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
.. พลอยสังเกตเห็นความแตกต่างทั้งลักษณะและขนาดของพระตำหนักต่างๆ ทั้งนี้เกิดจากฐานะขององค์เจ้าของตำหนักซึ่งแตกต่างกันนอกจากฐานะทางพระอิสริยยศแล้ว ยังเนื่องมาจากการผ่านพ้นรัชสมัยขิงแต่ละพระองค์ เช่น เมื่อครั้งยังทรงอยู่ในพระอิสริยยศเป็นพระเจ้าลูกเธอ พระมเหสีเทวี เจ้าจอมมารดา และเจ้าจอม ชีวิตก็จะรุ่งเรืองเฟื่องฟูแต่เมื่ิอสิ้นรัชสมัย ฐานะก็เปลี่ยนแปลง เป็นพระพี่นางเธอ พระน้องนงเธอ พระเจ้าหลานเธอบ้าง ความรุ่งเรืองเฟื่องฟูก็จะตกอยู่กับสตรีอีกกลุ่มหนึ่งที่เกี่ยวข้องใกล้ชิดกับองค์พระมหากษัตริย์โดยตรง สิ่งที่แสดงฐานะได้อย่างชัดเจนก็น่าจะเป็นพระตำหนักที่ประทับ หรือเรือนพักอาศัยซึ่งมักเก่าแก่ทรุดโทรมกว่ากลุ่มสตรีที่อยู่ในรัชสมัย และกำลังเฟื่องฟูเป็นที่โปรดปราน
.. เมื่อพลอยเข้าไปอยู่ในวังนั้น น่าจะเป็นตอนกลางรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจาอยู่หัว ในรัชสมัยนี้มีการปลูกสร้างพระตำหนักใหม่หลายองค์ ลักษณะสำคัญคือ เป็นสถาปัตยกรรมแบบยุโรป มีทั้งอิตาลี เยอรมนี และอังกฤษ ตำหนักที่มีลักษณะเด่นตำหนักหนึ่งคือ "ตำหนักพระราชชายาเจ้าดารารัศมี" คือเป็นอาคารก่ออิฐฉาบปูนสูง ๓ ชั้น ศิลปะผสมผสานระหว่างอิตาลีเรอเนสซองส์ และมีส่วนประกอบบางอย่างเป็นศิลปะตะวันออก เช่น หลังคาซึ่งเป็นแบบปั้นหยาวัสดุมุงหลังคาเป็นกระเบื้องดินเผาไม่เคลือบลวดลายตกแต่งก็เป็นศิลปะผสมระหว่างตะวันตกและตวันออกอย่างลงตัว และที่ว่าตำหนักพระราชชายาเจ้าดารารัศมี มีความแตกต่างจากตำหนักอื่นๆ เช่น ข้าหลวงนุ่งซิ่น ไว้ผมมวย แต่งกายอย่างชาวเมืองเชียงใหม่ ก็เนื่องมาแต่พระราชชายาเป็นธิดาของพระเจ้าอินทวิชยานนท์ เจ้านครเชียงใหม่ ถวายตัวเข้ารับราชการฝ่ายในเมื่อพระชันษาได้ ๑๔ ปี แม้เจ้านครเชียงใหม่จะอยู่ในฐานะเจ้าประเทศราช แต่ทรงมีรายได้จากการให้สัมปทานป่าไม้เป็นจำนวนมหาศาล เมื่อธิดาเข้ามาอยู่ในพระบรมมหาราชวัง ก็ทรงห่วงใยในความแปลกสถานที่ จึงมักส่งสิ่งต่างๆ อันเป็นเครื่องอำนวยความสุขตามที่พระธิดาเคยชินในบ้านเกิดเมืองนอนเข้ามาถวายเนืองๆ ทั้งข้าวขิงเครื่องใช้ อาหารการกิน ไม่เว้นแม้แต่ผู้คนข้าราชบริพาร ก็ทรงส่งมาถวายเพื่อการรับใช้ ตำหนักนี้จึงเสมืิอนเมืองเชียงใหม่เล็กๆ ในพระบรมมหาราชวัง ...?
ปล. ปัจจุบัน "วังหลวง" คือ กรุงเทพมหานคร นั้นเอง
กรุงเทพมหานคร อมรรัตนโกสินทร์ มหินทรายุธยา มหาดิลกภพ นพรัตน์ราชธานีบุรีรมย์ อุดมราชนิเวศน์มหาสถาน
อมรพิมานอวตารสถิต สักกะทัตติยวิษณุกรรมประสิทธิ์...
พระนครอันกว้างใหญ่ดุจเทพนคร
เป็นที่ที่สถิตของพระแก้วมรกต
เป็นมหานครที่ไม่มีใครรบชนะได้
มีความงามอันมั่นคงและเจริญยิ่ง
เป็นเมืองหลวงที่บริบูรณ์ด้วยแก้วเก้าประการ น่ารื่นรมย์ยิ่ง
มีพระราชนิเวศน์ใหญ่โตมากมาย
เป็นวิมานเทพที่ประทับของพระราชาผู้อวตารลงมา
ซึ่ง "ท้าวสักกเทวราช"(พระอินทร์)พระราชทานให้พระวิษณุกรรมลงมาเนรมิตไว้ .....?
เรื่องจริงของจริงใน "สี่แผ่นดิน" ตอนที่ ๔
โดย.. ลุงใหญ่
๑๑ มกราคม ๒๕๕๖
** เนื้อหาสาระของความคิดนั้น จะผิด ถูก ตรง ไม่ตรง
ดี ไม่ดี อย่างไร ก็เป็นเรื่องของความคิด
และขึ้นอยู่ที่ผู้อ่านว่าจะตัดสินอย่างไร เป็นสิทธิส่วนบุคคล
ลุงใหญ่ บันทึกไว้เพื่อกันลืมเท่านั้น
มิได้ตั้งใจจะสอนอะไรกับใครๆ ทั้งสิ้นครับ **
.. พลอยมีโอกาสได้เห็นวังหลวงครั้งแรก เมื่อแม่แช่มพาพลอยจากบ้านฟากข้างโน้นมาเพื่อถวายตัวกับเสด็จ แม่แช่มอธิบายคำว่า "วังหลวง" ให้พลอยให้ฟังว่า
"วังหลวงก็เป็นของพระเจ้าอยู่หัวท่านซีลูก ที่พลอยเห็นนั่นแหละ เป็นที่ประทับของท่านทั้งนั้น เสด็จและเจ้านายอื่นๆ ท่านมีตำหนักอยู่ข้างใน"
.. วังหลวงที่แม่แช่มพูดถึงก็คือ พระบรมมหาราชวังอาณาเขตกว้างขวางในพระบรมมหาราชวังแบ่งออกเป็น ๔ ส่วน คือ
๑. ส่วนที่เป็นพระราชฐานชั้นนอก อยู่รอบนอกกำแพงชั้นในของพระบรมมหาราชวัง
๒. ส่วนที่เป็นพระราชฐานชั้นกลาง
๓. ส่วนที่เป็นพระราชฐานชั้นใน
๔. ส่วนที่เป็นวัดพีะศรีรัตนศาสดาราม
.. สถานที่ที่แม่แช่มจะพาพลอยเข้าไปนั้น คือ ส่วนที่เป็น "พระราชฐานชั้นใน" ถือเป็นที่ "รโหฐานส่วนพระองค์ของพระมหากษัตริย์" เพราะเป็นที่ประทับและที่อยู่ของพระมเหสีเทวี เจ้าจอมมารดา เจ้าจอม ตลอดจนเหล่าข้าราชบริพาร พนักงานซึ่งล้วนเป็นสตรีทั้งสิ้น..
.. ส่วนประกอบสำคัญในเขตพระราชชั้นใน คือ พระตำหนักที่ประทับของเจ้านาย ซึ่งมีทั้งขนาดเล็กขนาดใหญ่ ทั้งเก่าและใหม่
พระตำหนักที่เก่าที่สุดที่คงเหลืออยู่ คือ พระตำหนักที่สร้างขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
ลักษณะสำคัญเป็นตำหนักตึกชันเดียว เตี้ยและหนาทึบคล้ายกุฏิวัดในสมัยโบราณ ส่วนพระตำหนักอื่นๆ ได้รับการบรูณปฏิสังขรณ์และสร้างขึ้นใหม่บ้าง เพราะจำนวนผู้คนที่เพิ่มขึ้นทุกรัชกาล ลักษณะของพระตำหนักก็เปลี่ยนไป เช่นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ลักษณะพระตำหนักจะมีส่วนผสมของศิลปะตะวันตกบ้าง คือเป็นอาคารก่ออิฐถือปูน ๒ ชั้น ดูสง่างามด้วยเสาสูง แลดูโปร่งสบายขึ้นด้วยระเบียงด้านหน้า แต่ยังคงไม่ทิ้งลักษณะหนาหนักและมั่นคง พระตำหนักที่ทันสมัยที่สุด ก็คือ
พระตำหนักที่สร้างใหม่ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
.. พลอยสังเกตเห็นความแตกต่างทั้งลักษณะและขนาดของพระตำหนักต่างๆ ทั้งนี้เกิดจากฐานะขององค์เจ้าของตำหนักซึ่งแตกต่างกันนอกจากฐานะทางพระอิสริยยศแล้ว ยังเนื่องมาจากการผ่านพ้นรัชสมัยขิงแต่ละพระองค์ เช่น เมื่อครั้งยังทรงอยู่ในพระอิสริยยศเป็นพระเจ้าลูกเธอ พระมเหสีเทวี เจ้าจอมมารดา และเจ้าจอม ชีวิตก็จะรุ่งเรืองเฟื่องฟูแต่เมื่ิอสิ้นรัชสมัย ฐานะก็เปลี่ยนแปลง เป็นพระพี่นางเธอ พระน้องนงเธอ พระเจ้าหลานเธอบ้าง ความรุ่งเรืองเฟื่องฟูก็จะตกอยู่กับสตรีอีกกลุ่มหนึ่งที่เกี่ยวข้องใกล้ชิดกับองค์พระมหากษัตริย์โดยตรง สิ่งที่แสดงฐานะได้อย่างชัดเจนก็น่าจะเป็นพระตำหนักที่ประทับ หรือเรือนพักอาศัยซึ่งมักเก่าแก่ทรุดโทรมกว่ากลุ่มสตรีที่อยู่ในรัชสมัย และกำลังเฟื่องฟูเป็นที่โปรดปราน
.. เมื่อพลอยเข้าไปอยู่ในวังนั้น น่าจะเป็นตอนกลางรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจาอยู่หัว ในรัชสมัยนี้มีการปลูกสร้างพระตำหนักใหม่หลายองค์ ลักษณะสำคัญคือ เป็นสถาปัตยกรรมแบบยุโรป มีทั้งอิตาลี เยอรมนี และอังกฤษ ตำหนักที่มีลักษณะเด่นตำหนักหนึ่งคือ "ตำหนักพระราชชายาเจ้าดารารัศมี" คือเป็นอาคารก่ออิฐฉาบปูนสูง ๓ ชั้น ศิลปะผสมผสานระหว่างอิตาลีเรอเนสซองส์ และมีส่วนประกอบบางอย่างเป็นศิลปะตะวันออก เช่น หลังคาซึ่งเป็นแบบปั้นหยาวัสดุมุงหลังคาเป็นกระเบื้องดินเผาไม่เคลือบลวดลายตกแต่งก็เป็นศิลปะผสมระหว่างตะวันตกและตวันออกอย่างลงตัว และที่ว่าตำหนักพระราชชายาเจ้าดารารัศมี มีความแตกต่างจากตำหนักอื่นๆ เช่น ข้าหลวงนุ่งซิ่น ไว้ผมมวย แต่งกายอย่างชาวเมืองเชียงใหม่ ก็เนื่องมาแต่พระราชชายาเป็นธิดาของพระเจ้าอินทวิชยานนท์ เจ้านครเชียงใหม่ ถวายตัวเข้ารับราชการฝ่ายในเมื่อพระชันษาได้ ๑๔ ปี แม้เจ้านครเชียงใหม่จะอยู่ในฐานะเจ้าประเทศราช แต่ทรงมีรายได้จากการให้สัมปทานป่าไม้เป็นจำนวนมหาศาล เมื่อธิดาเข้ามาอยู่ในพระบรมมหาราชวัง ก็ทรงห่วงใยในความแปลกสถานที่ จึงมักส่งสิ่งต่างๆ อันเป็นเครื่องอำนวยความสุขตามที่พระธิดาเคยชินในบ้านเกิดเมืองนอนเข้ามาถวายเนืองๆ ทั้งข้าวขิงเครื่องใช้ อาหารการกิน ไม่เว้นแม้แต่ผู้คนข้าราชบริพาร ก็ทรงส่งมาถวายเพื่อการรับใช้ ตำหนักนี้จึงเสมืิอนเมืองเชียงใหม่เล็กๆ ในพระบรมมหาราชวัง ...?
ปล. ปัจจุบัน "วังหลวง" คือ กรุงเทพมหานคร นั้นเอง
กรุงเทพมหานคร อมรรัตนโกสินทร์ มหินทรายุธยา มหาดิลกภพ นพรัตน์ราชธานีบุรีรมย์ อุดมราชนิเวศน์มหาสถาน
อมรพิมานอวตารสถิต สักกะทัตติยวิษณุกรรมประสิทธิ์...
พระนครอันกว้างใหญ่ดุจเทพนคร
เป็นที่ที่สถิตของพระแก้วมรกต
เป็นมหานครที่ไม่มีใครรบชนะได้
มีความงามอันมั่นคงและเจริญยิ่ง
เป็นเมืองหลวงที่บริบูรณ์ด้วยแก้วเก้าประการ น่ารื่นรมย์ยิ่ง
มีพระราชนิเวศน์ใหญ่โตมากมาย
เป็นวิมานเทพที่ประทับของพระราชาผู้อวตารลงมา
ซึ่ง "ท้าวสักกเทวราช"(พระอินทร์)พระราชทานให้พระวิษณุกรรมลงมาเนรมิตไว้ .....?
เรื่องจริงของจริงใน "สี่แผ่นดิน" ตอนที่ ๔
โดย.. ลุงใหญ่
๑๑ มกราคม ๒๕๕๖
ดี ไม่ดี อย่างไร ก็เป็นเรื่องของความคิด
และขึ้นอยู่ที่ผู้อ่านว่าจะตัดสินอย่างไร เป็นสิทธิส่วนบุคคล
ลุงใหญ่ บันทึกไว้เพื่อกันลืมเท่านั้น
มิได้ตั้งใจจะสอนอะไรกับใครๆ ทั้งสิ้นครับ **
Wednesday, January 2, 2013
" สวัสดีปีใหม่ 2556 "
สวัสดีปีใหม่ 2556
.. ในวาระดิถีขึ้นปีใหม่
ขอให้ท่านทั้งหลาย จงได้พิจารณาตัวเอง
ตักเตือนตัวเอง รักษาตัวเอง
ถนอมตัวเอง แก้ไขตัวเอง
โกรธใคร เกลียดใคร พยาบาทใคร
... ริษยาใคร .. ควรเลิกโกรธ เลิกเกลียด
เลิกริษยา เลิกพยาบาท หันมาทำจิตใจ
ให้มีเมตตาปราณีต่อกันและกัน ..?
.. รักตนต้องถนอมตน - ห่วงใยรักษา
รักตนอย่างยิ่งต้องถนอมห่วงใยรักษา
อย่างยิ่ง
.. สิ่งใดที่ทำมาด้วยความเผลอด้วย
ความประมาท เป็นสิ่งไม่ดีไม่งาม
ในรอบปีที่ผ่านมา ก็จงเลิกละจาก
สิ่งต่าง ๆ เหล่านั้น และหันมาใช้
ปัญญาพิจารณาสิ่งนั้นโดยความรอบ
ครอบ รอบรู้ แล้วตั้งใจทำสิ่งนั้นด้วย
ปัญญาตลอดไป
ความประมาท เป็นสิ่งไม่ดีไม่งาม
ในรอบปีที่ผ่านมา ก็จงเลิกละจาก
สิ่งต่าง ๆ เหล่านั้น และหันมาใช้
ปัญญาพิจารณาสิ่งนั้นโดยความรอบ
ครอบ รอบรู้ แล้วตั้งใจทำสิ่งนั้นด้วย
ปัญญาตลอดไป
.. จงตั้งจิตใจของเราไว้ให้อยู่ในสภาพ
บริสุทธิ์สะอาด ปราศจากสิ่งเศร้า
หมองใจ คิดอะไรก็เพื่อให้เกิดความ
บริสุทธิ์ พูดอะไรก็พูดเพื่อให้เกิดบริสุทธิ์
คบใครก็คบกันเพื่อความบริสุทธิ์ผุดผ่อง
บริสุทธิ์สะอาด ปราศจากสิ่งเศร้า
หมองใจ คิดอะไรก็เพื่อให้เกิดความ
บริสุทธิ์ พูดอะไรก็พูดเพื่อให้เกิดบริสุทธิ์
คบใครก็คบกันเพื่อความบริสุทธิ์ผุดผ่อง
ปล."ชีวิตของเราทั้งหลายก็จะเรัยบร้อย
มีความสุข เพราะเราทำให้มันเกิดสุข"
มีความสุข เพราะเราทำให้มันเกิดสุข"
ค้น - พบ
การ " ค้น - พบ "
คือ ความเป็นจริงที่ดำรงอยู่ และ คงอยู่
การ " คิด - ค้น "
คือ สิ่งที่จำเป็นต้องผ่านกระบวนการผลิต
ที่สร้างสรรค์จึงจะเป็นประโยชน์ต่อมนุษย์ และต่อโลก
โลกนี้ไม่ได้ขาดคุณงามความดี .. แต่ขาดการ "ค้น - พบ"
ความต้องการ
คือ เหตุปัจจัยแห่งการ " คิด - ค้น " เพราะความต้องการ
แต่ในบางครั้งสิ่งที่คิดค้นบางอย่างก็เกิดขึ้นมาจากความบังเอิญ
จากผลพลอยได้ของการวิจัยทางวิทยาศสตร์
ความตั้งใจ
คือ การสร้างประโยชน์สุขแก่มวลมนุษย์ชาติ
ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจก็ดี เหนือสิ่งอื่นใด คือ สิ่งที่คิดค้นนั้น
ต้องเป็นประโยชน์ต่อมนุษย์ และต่อโลก แต่ทุก ๆ สิ่งในโลกใบนี้
มักจะไม่เป็นไปตามที่ปรารถนา
ปล. พระพุทธเจ้าท่านทรง " ค้น - พบ " สัจธรรมว่า
"ธรรมทั้งหลายเกิดแต่เหตุปัจจัย" ธรรมชาติอันเป็นปัจจัยอาศัย
ซึ่งกันและกันเกิดขึ้นเป็นขบวนการที่เกี่ยวเนื่องกันดุจลูกโซ่ที่ไม่มี
จุดจบ แต่สรรพสัตว์ทั้งหลายไม่ยอมเชื่อ ...
การค้นพบสัจธรรม
ไม่มีความสามารถในการ " คิดค้น" สิ่งของเครื่ิองใช้ แต่สิ่งที่ผู้อื่น
คิดค้น หรือ ค้นพบ เราควรให้การยอมรับ และสำนึกในพระคุณ
คนที่มีจิตสำนึกในพระคุณอยู่เสมอนั้นจะ "ค้น-พบ" ว่าความจริง
เราสามารถมีชีวิตอย่างมีความสุข มีความยินดีได้ ทั้งชีวิต...?
ฝากไว้ให้ "ค้น - พบ" โดย.. ลุงใหญ่ 02-01-13
คือ ความเป็นจริงที่ดำรงอยู่ และ คงอยู่
การ " คิด - ค้น "
คือ สิ่งที่จำเป็นต้องผ่านกระบวนการผลิต
ที่สร้างสรรค์จึงจะเป็นประโยชน์ต่อมนุษย์ และต่อโลก
โลกนี้ไม่ได้ขาดคุณงามความดี .. แต่ขาดการ "ค้น - พบ"
ความต้องการ
คือ เหตุปัจจัยแห่งการ " คิด - ค้น " เพราะความต้องการ
แต่ในบางครั้งสิ่งที่คิดค้นบางอย่างก็เกิดขึ้นมาจากความบังเอิญ
จากผลพลอยได้ของการวิจัยทางวิทยาศสตร์
ความตั้งใจ
คือ การสร้างประโยชน์สุขแก่มวลมนุษย์ชาติ
ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจก็ดี เหนือสิ่งอื่นใด คือ สิ่งที่คิดค้นนั้น
ต้องเป็นประโยชน์ต่อมนุษย์ และต่อโลก แต่ทุก ๆ สิ่งในโลกใบนี้
มักจะไม่เป็นไปตามที่ปรารถนา
ปล. พระพุทธเจ้าท่านทรง " ค้น - พบ " สัจธรรมว่า
"ธรรมทั้งหลายเกิดแต่เหตุปัจจัย" ธรรมชาติอันเป็นปัจจัยอาศัย
ซึ่งกันและกันเกิดขึ้นเป็นขบวนการที่เกี่ยวเนื่องกันดุจลูกโซ่ที่ไม่มี
จุดจบ แต่สรรพสัตว์ทั้งหลายไม่ยอมเชื่อ ...
การค้นพบสัจธรรม
ไม่มีความสามารถในการ " คิดค้น" สิ่งของเครื่ิองใช้ แต่สิ่งที่ผู้อื่น
คิดค้น หรือ ค้นพบ เราควรให้การยอมรับ และสำนึกในพระคุณ
คนที่มีจิตสำนึกในพระคุณอยู่เสมอนั้นจะ "ค้น-พบ" ว่าความจริง
เราสามารถมีชีวิตอย่างมีความสุข มีความยินดีได้ ทั้งชีวิต...?
ฝากไว้ให้ "ค้น - พบ" โดย.. ลุงใหญ่ 02-01-13
Subscribe to:
Posts (Atom)