Monday, December 15, 2014

อิสรภาพ คือ ความงดงาม

** ความรักไม่ใช่หน้าที่ แต่ผลิบานออกมาจากอิสรภาพที่ให้แก่กัน **

- ความรักไม่ใช่หน้าที่ ไม่ใช่การทำให้เป็นไปตามคาดหวังใดๆ เพราะเรามีความสุขที่จะมอบความรัก เราจึงให้ไป แล้วตัวเราเองก็อาจเปลี่ยนใจได้ทุกขณะเพราะไม่มีคำมั่นสัญญาใดๆที่ทำไว้ ไม่มีข้อผูกมัดที่ทำไว้ เรายังคงเป็นปัจเจกที่เป็นอิสระทั้งสองคน เป็นการพบกันที่ออกมาจากอิสรภาพ เป็นความรักที่ออกมาจากอิสรภาพ แต่ความเป็นปัจเจกและอิสรภาพที่เรามีไม่เปลี่ยนแปลง เมื่อมันเป็นเช่นนั้น มันจึงเกิดความรักที่งดงาม..?

- ความรักไม่ได้เป็นสิ่งเดียวที่งดงาม อิสรภาพ คือ สิ่งที่งดงามมากยิ่งกว่าความรัก ส่วนประกอบพื้นฐานขิงความงดงาม คือ อิสรภาพ ความรักเป็นส่วนประกอบรองลงมา ความรักงดงามได้ด้วยอิสรภาพเช่นกัน เพราะอิสรภาพ คือ ความงดงาม เมื่ออิสรภาพหายไป ความรักก็กลายเป็นสิ่งอัปลักษณ์ แล้วตัวเราเองจะประหลาดใจในสิ่งที่เกิดขึ้นว่า สิ่งที่งดงามที่เคยมีมันหายไปไหนหมด? 

ปล. เมื่อคนสองคนรักกัน ทั้งสองก็ย่อมเป็นอิสระโดยปัจเจก ทั้งสองมีอิสรภาพ เพราะความรักไม่ใช่หน้าที่ แต่ผลิบานออกมาจากอิสรภาพที่ให้แก่กัน แล้วทั้งสองก็มีอิสระที่จะกล่าวปฎิเสธฯ

โดย.. ลุงใหญ่
๑๖ ธันวามคม ๒๕๕๗

** เนื้อหาสาระของความคิดนั้น จะผิดถูก ตรง ไม่ตรง ดีไม่ดี อย่างไร ก็เป็นเรื่องของความคิด และขึ้นอยู่ที่ผู้อ่านว่าจะตัดสินอย่างไรด้วย เป็นสิทธิส่วนบุคคล ลุงใหญ่บันทึกไว้เพื่อกันลืมเท่านั้น มิได้ตั้งใจจะสอนอะไรกับใคร ๆ ทั้งสิ้นครับ **



Sunday, December 14, 2014

ของไทย ไทย ที่มีดี ดีอย่างไทย

.. ไม่มีอะไร และ ใครที่จะสามารถโค่น "รากไทย" ของเมืองไทยได้ ถึงกิ่งก้านริดลงยังคงยืนได้ รากที่หยั่งลงไว้คอยประคองมั่นคง 

เมืองไทยก็เหมือนต้นไม้ที่ดำรงมั่นคงเนิ่นเนาว์
เพราะเรามีราก "รากแห่งวัฒนธรรมไทย"

พวกเราลูกหลานต้องคอยสืบสานอย่างมั่นใจ 
จงช่วยกันดูแลต้นไทยให้มันยืนยง
คุณพระช่วยธำรงค์รากเอย ฯ

รากไทย
http://youtu.be/CdlrG-g5_Lg

ปล. ของไทย ไทย ที่มีดี ดีอย่างไทยไม่แพ้ใคร ใคร
ในโลก และดีจากรากสู่ปลายเพื่อลูกหลานของไทย

** ของดีนะ ดีนาน แต่ถ้านานดี นะมันดี **

จาก.. ลุงใหญ่
๑๕ ธันวาคม ๒๕๕๗

** เนื้อหาสาระของความคิดนั้น จะผิดถูก ตรง ไม่ตรง ดีไม่ดี อย่างไร ก็เป็นเรื่องของความคิด และขึ้นอยู่ที่ผู้อ่านว่าจะตัดสินอย่างไรด้วย เป็นสิทธิส่วนบุคคล ลุงใหญ่บันทึกไว้เพื่อกันลืมเท่านั้น มิได้ตั้งใจจะสอนอะไรกับใคร ๆ ทั้งสิ้นครับ **



Thursday, December 11, 2014

ความเปราะบาง _ ของความรัก

ปล. อย่าคิดว่ารักนั้นนิรันดร ความรักเป็นเรื่องเปราะบางมากๆ เรื่องเพียงเล็กน้อยใดๆ ก็สามารถเข้ามาทำลายความรักลงได้อย่างไม่น่าเชื่อจริงๆนะครับความรักฯ 

** ความรัก เป็นเรื่องเปราะบางมาก มันมีความละเมียดละไมมากเราต้องระมัดระวัง และรอบครอบให้มากในเรื่อง ความรัก ตัวเราเองอาจทำร้ายจิตใจผู้อื่นมากจนความใกล้ชิดแปรเปลี่ยนเป็นการปกป้องภัยฯ

** ถ้าเราทะเลาะกันมากเกินไป คู่ของเราก็จะเริ่มหนีหาย และจะเริ่มเย็นชามากขึ้นเรื่อยๆ ปิดกั้นตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆฯ

** สถานการณ์เช่นนี้อาจกลายเป็นวงจรอุบาทว์ และนั่นคือสิ่งที่ทำให้คู่รักต้องแยกทางกันในไม่ช้า เราทั้งคู่ก็จะเหินห่างกันไป และคิดว่าเป็นความรับผิดชอบของอีกคน เราก็จะคิดเอาเองว่าอีกคนเป็นผู้ทรยศในความรักของกันและกันฯ

•• อันที่จริง ตามความเข้าใจของลุงใหญ่แล้ว ไม่มีคู่รักคนใดทรยศต่ออีกคนเลย ความใส่ใจกันต่างหากที่เข่นฆ่า "ความรัก" ซึ่งทั้งสองอยากอยู่ด้วยกัน แต่ทั้งสองก็ไม่ใส่ใจกันในทางใดทางหนึ่ง เพราะทั้งคู่ถูกการไม่ใส่ใจกันใช้เล่ห์ลวง และสิ่งนั้นเริ่มทับทวีขึ้น ••

โดย.. ลุงใหญ่
๑๒ ธันวาคม ๒๕๕๗

** เนื้อหาสาระของความคิดนั้น จะผิดถูก ตรง ไม่ตรง ดีไม่ดี อย่างไร ก็เป็นเรื่องของความคิด และขึ้นอยู่ที่ผู้อ่านว่าจะตัดสินอย่างไรด้วย เป็นสิทธิส่วนบุคคล ลุงใหญ่บันทึกไว้เพื่อกันลืมเท่านั้น มิได้ตั้งใจจะสอนอะไรกับใคร ๆ ทั้งสิ้นครับ **

หวงรัก - ม.ร.ว. ถนัดศรี สวัสดิวัตน์: http://youtu.be/6CLbwuMijf4

Tuesday, November 25, 2014

ทุกข์มีไว้ให้เห็น _ สุขมีไว้ให้เป็น


@..ไม่มีชีวิตใครทุกข์ได้ตลอด 
ไม้คาน ยังมีปลายสองด้านเสมอ
เมื่อด้านหนึ่งเป็นทุกข์ 
อีกด้านหนึ่งต้องเป็นสุข
ไม่มีใครหาบ คอน ด้านเดียวตลอด...?

โดย.. ลุงใหญ่
วันอังคารที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๗

** เนื้อหาสาระของความคิดนั้น จะผิดถูก ตรง ไม่ตรง ดีไม่ดี อย่างไร ก็เป็นเรื่องของความคิด และขึ้นอยู่ที่ผู้อ่านว่าจะตัดสินอย่างไรด้วย เป็นสิทธิส่วนบุคคล ลุงใหญ่บันทึกไว้เพื่อกันลืมเท่านั้น มิได้ตั้งใจจะสอนอะไรกับใคร ๆ ทั้งสิ้นครับ **


Monday, November 24, 2014

กราบ กราบ กราบ

ประวัติหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าชุง อุทัยธานี..http://www.youtube.com/watch?v=rmW72ntPEho&feature=youtube_gdata_player

Tuesday, November 11, 2014

ความคิดถึง _ มีค่ามากที่สุด

ความรักอันใดเสมอด้วยเองไม่มี


ความคิดถึง _ มีค่ามากที่สุด


• โลกนี้เหมือนละคอนโรงนิด ๆ

คิดว่าเราเป็นละคอนอยู่ทั่วกัน

ต่างคนต่างมีบทรำและทำท่า

ต่าง ๆ นานา เหมือนแสร้งสรร ฯ


ปล.คิดถึงพ่อ คิดถึงแม่จังเลย


โดย.. ลุงใหญ่

11 พฤศจิกายน 2557


** เนื้อหาสาระของความคิดนั้น จะผิดถูก ตรง ไม่ตรง ดีไม่ดี อย่างไร ก็เป็นเรื่องของความคิด และขึ้นอยู่ที่ผู้อ่านว่าจะตัดสินอย่างไรด้วย เป็นสิทธิส่วนบุคคล ลุงใหญ่บันทึกไว้เพื่อกันลืมเท่านั้น มิได้ตั้งใจจะสอนอะไรกับใคร ๆ ทั้งสิ้นครับ **


รักเดียวใจเดียว :http://youtu.be/c4CmzQQTMvE


Monday, November 3, 2014

ใจกับใจต่อติดสนิทกัน ฯ

• อันหญิงชายย่อมหมายเป็นคู่ชื่น
ภิรมย์รื่นร่วมจิตพิสมัย
ตาประสบตารักสมัครไซร้
ใจกับใจต่อติดสนิทกัน  ฯ

โดย.. ลุงใหญ่
4 พฤศจิกายน 2557

** เนื้อหาสาระของความคิดนั้น จะผิดถูก ตรง ไม่ตรง ดีไม่ดี อย่างไร ก็เป็นเรื่องของความคิด และขึ้นอยู่ที่ผู้อ่านว่าจะตัดสินอย่างไรด้วย เป็นสิทธิส่วนบุคคล ลุงใหญ่บันทึกไว้เพื่อกันลืมเท่านั้น มิได้ตั้งใจจะสอนอะไรกับใคร ๆ ทั้งสิ้นครับ **

Friday, October 24, 2014

ไม่มีคำอธิบายเสมอ _ เพราะอะไร ?

** เรื่องที่ลึกซึ้งบางเรื่องล้วนไม่มีคำอธิบายเสมอ _ เพราะอะไร ?

มี "บางอย่าง" ที่ยิ่งใหญ่กว่าทุกอย่างอยู่ในตัวใครคนนั้น เป็นสิ่งที่มีคุณค่าเหนือสิ่งอื่นใดทั้งมวลฯ

** ไม่จำเป็นต้องอธิบายให้ใครเข้าใจทุกอย่างในชีวิต เราไม่มีความรับผิดชอบในการอธิบายสิ่งใดกับใครๆ ** 

โดย.. ลุงใหญ่
 25 ตุลาคม 2557

** เนื้อหาสาระของความคิดนั้น จะผิดถูก ตรง ไม่ตรง ดีไม่ดี อย่างไร ก็เป็นเรื่องของความคิด และขึ้นอยู่ที่ผู้อ่านว่าจะตัดสินอย่างไรด้วย เป็นสิทธิส่วนบุคคล ลุงใหญ่บันทึกไว้เพื่อกันลืมเท่านั้น มิได้ตั้งใจจะสอนอะไรกับใคร ๆ ทั้งสิ้นครับ **

เพราะอะไร...(ไม่มีคำตอบ)
http://youtu.be/GL5KXs1scHc

Tuesday, September 16, 2014

กามรส .. โดย.. ลุงใหญ่

กามรส .. โดย.. ลุงใหญ่

• อาหารรสย่อมให้ ชวนชิม
แต่ก็พอเคี้ยวไป สิ้นรส
รสเพียงแต่ชวนลิ้ม บ่ยง ยืนนา
กว่าจะกลืนก็หมด รสทราม •

• คนหลงกามรสต้อง เสียใจ
เพราะสิ่งซึ่งต้องตา จางจืด
เสียงเสนาะโสตพั่งไป ชวนเบื่อ
กลิ่นรสมิช้าชืด หมดหวาน • 

ปล. "กามตัณหา" คือความอยาก ยากจะหมด  "ในรูป-รส-กลิ่น-เสียง" แนบเคียงหวง

ทั้ง "สัมผัสทางกาย" ร้ายทั้งปวง  
เป็นเหมือน "บ่วงแห่งมาร" ผลาญชีวา...?
โดย.. ลุงใหญ่
17 กันยายน 2557

Monday, September 1, 2014

ดอกชมนาด

"เล่าเฒ่า..ที่รู้" เรื่อง ดอกชมนาด

ชื่อไทย: ชมนาด หรือชื่ออื่น ๆ คือ  ชำมะนาด  ชำมะนาดกลาง  ชำมะนาดฝรั่ง  ดอกข้าวใหม่  อ้มส้าย

- มีถิ่นกำเนิดเอเชียเขตร้อน  เช่นอินโดนีเซีย  มาเลเซีย  ในประเทศไทยพบได้ทั่วไปทุกภาค
การขยายพันธุ์เมล็ด , การตอนกิ่ง


- ลักษณะทั่วไป : เป็นไม้เถาหรือไม้รอเลื้อย  สามารถเลื้อยทอดพาดพันสิ่งอื่นๆ เช่น รั้ว ซุ้ม และค้างไปได้ไกล และเจริญเติบโตเป็นไม้พุ่มเตี้ย สูง .50-1.0 เมตร โดยอาศัยการยึดเกี่ยวของกิ่งก้านด้วยกันเอง เนื้อไม้แข็ง แตกกิ่งก้านออกเป็นเถาเล็กๆ จำนวนมากในแต่ละต้น ทุกส่วนมีน้ำยางสีขาวคล้ายน้ำนม

- ต้นอ่อน หรือ เถาอ่อนเปลือกสีเขียวหรือเทาอมเขียว  ต้นแก่หรือต้นที่มี อายุมาก เปลือกสีเทาเข้ม แตกเป็นสะเก็ด และหลุดล่อนออกเป็นแผ่นบางๆ

- เป็นพืช ใบเดี่ยว ออกเรียงตรงกันข้าม รูปรีหรือรูปไข่หรือรูปขอบขนาน ปลายเป็นติ่งแหลม 

- โคนสอบมน ขอบใบเรียบ ผิวใบสีเขียวเข้มเป็นมัน เนื้อใบบาง เส้นแขนงใบ 10-12 คู่ ใบกว้าง 8-10 เซนติเมตร ยาว 12-16 เซนติเมตร ก้านใบยาว 1.0-1.5 เซนติเมตร 

- มีดอกเดี่ยว สีขาว หรือ สีครีมอมเขียว มีกลิ่นหอม ออกเป็นช่อๆกระจุกตามซอกใบใกล้ปลายกิ่งและปลายกิ่ง ช่อละ 10-25 ดอก กลีบเลี้ยง 5 กลีบสีเขียว โคนเชื่อมติดกัน 

- ปลายแยกออกเป็น 5 กลีบ ปลายกลีบเรียวแหลม กว้าง 0.2-0.3 เซนติเมตร ยาว 0.4-0.5 เซนติเมตร กลีบดอก 5 กลีบ 

- โคนเชื่อมติดกันเป็นรูปถ้วยตื้นๆ ปลายแยกออกเป็น 5 กลีบ ปลายกลีบบิดม้วนแหลม กลีบดอกสีขาวหรือครีมอมเขียวบอบบาง กว้าง 0.4-0.6 เซนติเมตร ยาว 0.8-1.2 เซนติเมตร มีเกสรอยู่กลาง

- ดอกเป็นรูปกรวยแหลม เกสรเพศผู้ 5 อัน ที่โคนก้านเกสรมีเม็ดเล็กๆ สีขาว 5 เม็ด  

- เกสรเพศเมียมี 2 ช่องติดกัน ดอกบานเต็มที่กว้าง 1.2-1.8 เซนติเมตร ออกดอกตลอดปี

- ผลอ่อนรูปกรวยหรือดอกบัวตูม ปลายแหลม เมื่อแก่จะแตกออกเป็น 2 พู โคนติดกัน รูปร่างคล้ายเขาวัว 

- มองดูเหมือนเป็นฝัก 2 ฝัก ภายในผลมีเนื้อนุ่ม เมื่อแก่จัดจะแห้งและแตกออกตามแนวร่องผล ภายในมีเมล็ดหลายเมล็ด

- เมล็ดมีขนาดเล็กรูปไข่ ปลายแหลมสีน้ำตาล ส่วนปลายมีขนหรือเส้นใยสีขาวเล็กๆ ติดอยู่เป็นกระจุก

- ดอกชมนาดมีประโยชน์              นิยมปลูกเป็นไม้ดอกไม้ประดับโดยให้เลื้อยไต่คลุมซุ้มหรือค้างที่สร้างขึ้นเพื่อทำเป็นที่นั่งพักผ่อนให้ร่มเงาและความร่มรื่นได้ดี

- เนื่องจากมีใบขนาดใหญ่และดก ดอกมีกลิ่นหอมแรงเป็นพิเศษในช่วงเวลาเย็นหรือพลบค่ำกลิ่นหอมคล้ายกลิ่นใบเตยหอม หรือกลิ่นข้าวหอมที่สุกใหม่ๆ ดอกทยอยบานและบานทนหลายวัน 

- มีสรรพคุณทางยา ยางใช้ใส่แผลสดสมานแผลและห้ามเลือด เป็นยาถ่ายอย่างแรง กระตุ้นกล้ามเนื้อ เพิ่มความดันโลหิต ดอกใช้อบแป้งร่ำ ทำเครื่องหอม 

- การเก็บดอกจะต้องระมัดระวังอย่าให้กลีบดอกช้ำ เพราะจะทำให้มีกลิ่นเหม็นแทนกลิ่นหอม

โดย.. ลุงใหญ่ 
2 กันยายน 2557

คอยดอกไม้ร่วง


@ ไม่คิดสอยมัวคอยดอกไม้ร่วง
คงชวดดวงบุปผชาติสะอาดหอม
ดูแต่ภุมรินเที่ยวบินดอม
จึงได้ออม _ อบกลิ่นสุมาลี ฯ 

ปล. "ดอกไม้แรกแย้มที่โรยร่วงก่อนวัยอันควร" เสมือนการคุกคามล่วงล้ำร่างกาย จิตใจของเธอนะแม่ดอกมะลิ ชมนาด ที่รัก

โดย.. ลุงใหญ่
2 กันยายน 2557

Saturday, August 30, 2014

"เล่าเฒ่า..ที่รู้" โดย..ลุงใหญ่

"เล่าเฒ่า..ที่รู้" โดย.. ลุงใหญ่

น้ำพริกแกง & เครื่องแกง ต่างๆของไทยๆ โบราณ สูตรลุงใหญ่

.. น้ำพริกแกง & เครื่องแกงไทยๆโบราณ เป็นวัตถุดิบที่สำคัญมากๆและจำเป็นต่อการปรุงอาหารมาก 

เครื่องแกง หรือ ส่วนผสมที่นำมาผสมผสานกันเพื่อให้เกิดรสชาติใหม่ นั่นก็คือ "น้ำพริกแกง" ที่ทำให้อาหารไทยต่างๆ ประเภทแกง มีรสกลมกล่อม กลิ่นหอม อร่อย ซึ่งจะมีรสชาติ เค็ม เผ็ด เปรี้ยว และหวาน แต่ละประเภท
จะแตกต่างกันไปตามการปรุงอาหารนั้นๆนะครับทุกๆท่านที่เคารพ

.. ในเมืองไทยของเราแบ่งออกเป็น ๔ ภาค ในแต่ภาคก็จะมีสูตรน้ำพริกแกง และ เครื่องแกงที่ใช้ทำอาหารแตกต่างกันไปในแต่ละภาคของบ้านเราตามท้องถิ่นที่มักจะหาและปลูกกันเองได้ง่ายก็มี

.. ส่วนแกงต่างๆ ที่ในแต่ละภาคมักนิยมใช้ในอาหารไทยก็ต้องมีเครื่องแกงและใช้วัตถุดิบคล้ายๆกันบ้างก็มี อาทิเช่นแกงต่างๆดังนี้คือ แกงเผ็ด , แกงคั่ว , แกงป่า , แกงพะแนง , แกงกะหรี่ , แกงส้ม , แกงเขียวหวาน , แกงมัสมั่น , แกงไตปลา และ แกงเหลือง ฯลฯ

.. ต่อไปนี้ขอแนะนำส่วนผสมต่างของ " น้ำพริกแกง & เครื่องแกง" จะมีวัตถุดิบและวิธีการเตรียมดังต่อไปนี้

1. พริกแห้ง แยกได้เป็นสองชนิดคือ พริกแห้งเม็ดใหญ่ และพริกขี้หนูแห้ง

วิธีการเตรียม : 

- นำไปแช่น้ำให้นุ่มก่อนนำมาโขลก ถ้าไม่ต้องการให้มีความเผ็ดมากให้ผ่าเอาเม็ดออก

2. ผิวมะกรูด 

วิธีการเตรียม : 

- ฝานผิวสีเขียวเป็นชิ้นเล็กๆ ไม่ให้มีสี่ขาวติดมามาก แล้วนำมาหั่นซ้ำให้ละเอียด

3. ตะไคร้ 

วิธีการเตรียม : 

- ล้างให้สะอาดแล้วตัดโคนราก และใบทิ้งไป หั่นเป็นชิ้นบางๆ

4. รากผักชี

วิธีการเตรียม : 

- ล้างให้สะอาดตัดเอาด้านโคนต้นจนถึงราก

5. กระชาย

วิธีการเตรียม : 

- ล้างให้สะอาด ขัดคราบดินออกด้วยแปลง และขูตเอาผิวออก ล้างน้ำอีกครั้ง หั่นให้ละเอียด

6. พริกสด หรือ พริกขี้หนูสด

วิธีการเตรียม : 

- ล้างให้สะอาด หั่นแบบหยาบๆ หรือทุบให้แตก ตามลักษณะของแกง

7. กระเทียม 

วิธีการเตรียม :

- ปอกเปลือก ล้างให้สะอาด และหั่นเป็นชั้นบางๆ

8. หอมแดง

วิธีการเตรียม : 

- ปอกเปลือก ล้างให้สะอาด และหั่นเป็นชิ้นบางๆ

9. ใบมะกรูด

วิธีการเตรียม : 

- ล้างน้ำให้สะอาด ฉีกก้านตรงกลางออก แล้วหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ

10. เครื่องเทศ ต่างๆ ได้แก่ เมล็ดผักชี หรือ ลูกผักชี, เมล็ดยี่หร่า, ดอกจันทร์แปดกรีบ, ลูกกระวาน, ใบกระวาน, กานพลู, ดีปลี, พริกหมอ หรือมะแข่น, อบเชย

วิธีการเตรียม : 

กรณีซื้อเครื่องเทศรวมแบสำเร็จรูป

- นำมาโขลกให้ละเอียด และเพิ่มเติมอย่างอื่นตามที่เราต้องการ

กรณีเตรียมของแต่ละอย่างเอง

- เมล็ดผักชี ยี่หร่า กานพลู คั่วแยกให้หอม แล้วนำมาโขลกให้ละเอียด

- ดอกจันทร์ ลูกกระวาน คั่ว ทุบให้แตก แล้วเอาเนื้อข้างใน

- ใบกระวาน ฉีกก้านกลางออก ล้างให้สะอาด แล้วนำมาคั่ว

- อบเชย
- เมล็ดผักชี 
- ยี่หร่า                                 - พริกหมอ 
- ลูกกระวาน                          - ดอกจันทร์
ทั้งหมดนำมาคั่วแล้วโขลกให้ละเอียดเพื่อเพิ่มรสชาตของอาหาร

ปล. เพื่อนสมาชิก ท่านใดที่สนใจสูตรน้ำพริกแกง & เครื่องแกงไทยต่างๆ ก็ยินดีนะครับ ..ฯ

การทำอาหารไทย ได้เรียนรู้การผสมวัตถุดิบต่างๆ แล้วนำมาหัน ซอย โขลก ตำ ทุบ ให้ละเอียดได้พิจารณาในเครื่องปรุงดังกล่าวก็ถือว่าได้ฝึก "สติ " ทำสมาธิไปในตัวด้วยนะครับทุกๆท่าน

ขอให้มีสุขกับการทำอาหารไทยๆโบราณทานกันเองดีกว่านะครับ..

สวัสดีครับฯ

จาก.. ลุงใหญ่ 
30 สิงหาคม 2557



Thursday, August 28, 2014

นารี _ ร้างไป

@ อันนารีรูปงามทรามสวาท
ถ้าแม้ไร้มารยาทอันงามสม
คงไม่มีชายดีจะอบรม
มีแต่ชมเพื่อพลางแล้วร้างไปฯ

ปล. ผู้ _ ชายได้ตายไปแล้วเป็นครั้งคราว และหนอนกินสิ้นแล้ว แต่ไม่มีที่ตาย _ เพราะรักเลย..?

จาก.. ลุงใหญ่
29 สิงหาคม 2557

Sunday, August 24, 2014

บุญเดือนเก้า : บุญข้าวประดับดิน


ทำบุญข้าวประดับดิน โดย. ลุงใหญ่

การทำบุญข้าวประดับดิน เป็นประเพณีหนึ่งในฮีตสิบสอง นิยมทำกันในวันแรม 14 ค่ำ เดือนเก้า หรือที่เรียกว่า บุญเดือนเก้า บุญข้าวประดับดิน เป็นบุญที่ทำเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่ เปรต (ชาวอีสานบางถิ่นเรียก เผต) หรือญาติมิตรที่ตายไปแล้ว ข้าวประดับดิน ได้แก่ ข้าวและอาหารคาวหวาน พร้อมหมากพลู บุหรี่ที่ห่อด้วยใบตอง กล้วย นำไปวางไว้ตามใต้ต้นไม้ แขวนไว้ตามกิ่งไม้ ตามบริเวณกำแพงวัดบ้าง (คนอีสานโบราณเรียกกำแพงวัดว่า ต้ายวัด) หรือวางไว้ตามพื้นดิน เรียกว่า "ห่อข้าวน้อย" พร้อมกับเชิญวิญญาณของญาติมิตร นำภัตตาหารไปถวายแด่พระภิกษุ สามเณร แล้วอุทิศส่วนกุศลแก่ผู้ตาย โดยหยาดน้ำ (กรวดน้ำ) ไปให้ด้วย

มูลเหตุของความเป็นมา ของเรื่องการทำบุญข้าวประดับดินนี้ เกิดจากความเชื่อตามนิทานธรรมบท ว่า 
    "ญาติของพระเจ้าพิมพิสารได้ยักยอกเงินวัด ของสงฆ์ต่างๆ ไปเป็นของตนเอง ในสมัยพระกัสสปะพุทธเจ้า พวกอดีตญาติของพระเจ้าพิมพิสารเหล่านั้น ครั้นตายไปแล้วได้ไปเกิดเป็นเปรตในนรกตลอดพุทธันดร เมื่อพระเจ้าพิมพิสารถวายทานแด่ พระสมณโคดมพุทธเจ้า ในภัททกัปป์นี้ ก็ไม่ได้ตรวจน้ำอุทิศส่วนกุศลไปให้แก่พวกญาติเหล่านั้น พอตกกลางคืนพวกเปรตญาติของพระเจ้าพิมพิสารเหล่านั้น ได้มาส่งเสียงร้องอันโหยหวนและแสดงรูปร่างน่ากลัวให้แก่พระเจ้าพิมพิสารได้ยินและเห็น พอเช้าวันรุ่งขึ้นได้เสด็จไปถามพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ทรงเล่าเรื่องราว ที่เป็นมูลเหตุให้พระเจ้าพิมพิสารได้ทรงทราบ พระเจ้าพิมพิสารได้ทำบุญถวายทานอีก แล้วทรงอุทิศส่วนกุศลไปให้ พวกญาติที่ตายไปแล้วได้รับส่วนกุศลแล้ว ได้มาแสดงตนให้พระเจ้าพิมพิสารเห็นและทราบว่า ทุกข์ที่พวกญาติได้รับนั้นทุเลาเบาบางลงแล้ว เพราะการอุทิศส่วนกุศลของพระองค์" ชาวอีสานจึงถือเอามูลเหตุนี้ ทำบุญข้าวประดับดิน 
ติดต่อกันมา

วิธีดำเนินการ พอถึงวันแรม 13 ค่ำ เดือนเก้า ชาวบ้านเตรียมอาหาร มีทั้งคาวหวาน ได้แก่ เนื้อ ปลา เผือก มัน ข้าวต้ม ขนม น้ำอ้อย น้ำตาล ผลไม้ เป็นต้น และหมากพลู บุหรี่ไว้ไห้พร้อม เพื่อจัดทำเลี้ยงกันในครอบครัวบ้าง และทำบุญถวายพระภิกษุสามเณรบ้าง ส่วนสำหรับอุทิศให้ญาติที่ตาย ใช้ห่อด้วยใบตองกล้วย อาหารคาวห่อหนึ่ง อาหารหวานห่อหนึ่ง และหมากพลูบุหรี่ห่อหนึ่ง เย็บหุ้มปลาย แต่บางคนใส่ใบตองที่เย็บเป็นกระทงก็มี หรือหากไม่แยกกัน อาจเอาอาหารทั้งคาวหวาน หมากพลู บุหรี่ ใส่ในห่อหรือกระทงเดียวกันก็ได้ สิ่งของเหล่านี้ จะมากน้อยก็แล้วแต่ศรัทธา

พอเช้าวันรุ่งขึ้น คือวันแรม 14 ค่ำ เดือนเก้า ตอนเช้ามืด คือ เวลาประมาณ 4 ถึง 6 นาฬิกา ชาวบ้านก็นำอาหาร หมากพลู บุหรี่ที่ห่อใส่กระทงแล้วไปวางไว้ตามพื้นดิน วางแจกไว้ตามบริเวณโบสถ์ ต้นโพธิ์ ศาลา ตามกิ่งไม้หรือต้นไม้ใหญ่ๆ ในบริเวณวัด พร้อมกับจุดเทียนไว้ และบอกกล่าวแก่เปรตให้มารับเอาสิ่งของและผลบุญด้วย

บางหมู่บ้าน จะเอาอาหารที่อุทิศให้แก่ผู้ตายหลังทำพิธีแล้ว ก็ฝังไว้ในดินก็มี เพื่อไม่ให้ผู้ใดผู้หนึ่งกินอาหารที่เป็นเดนเปรต เพราะกลัวจะกลายเป็นเปรตไปด้วย การวางอาหารไว้ตามพื้นดิน หรือตามที่ต่างๆ เพื่อจะให้พวกเปรตมารับเอาของอุทิศให้ได้ง่าย โดยไม่ต้อง มีพิธีรีตอง เสร็จพิธีอุทิศผลบุญส่งไปให้เปรตแล้ว ชาวบ้านก็จะนำอาหารที่เตรียมไว้อีกส่วนหนึ่ง ไปตักบาตรและถวายทานแด่พระภิกษุ สามเณร


มีการสมาทานศีลฟังเทศน์ และกรวดน้ำเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้ผู้ล่วงลับต่อไป การทำบุญข้าวประดับดิน บางท้องถิ่นมีการห่ออาหารคาว อาหารหวาน หมาก พลู บุหรี่ ไปวางไว้ตามที่ต่างๆ บริเวณวัด ภายหลังการถวายภัตตาหารแด่พระภิกษุสามเณรแล้วก็มี เป็นเสร็จพิธีทำบุญข้าวประดับดิน


ข้อสังเกต การที่ชาวบ้านนำข้าวปลาอาหาร ไปวางไว้ตามข้างวัดบ้าง ข้างกำแพงบ้าง ผูกไว้ตามกิ่งไม้บ้าง ด้วยเข้าใจว่า ญาติที่ได้รับการปลดปล่อยจากนรก จะได้มากินในวันเดือนดับนี้ จะเป็นไปได้หรือไม่นั้น เป็นเรื่องเหลือวิสัยที่จะชี้ตรงๆ ว่า ญาติเขาเหล่านั้นจะได้รับจริงหรือไม่ แต่สิ่งที่แน่นอนที่สุดก็คือ

เป็นการให้อาหารแก่สัตว์จรจัด สัตว์บางจำพวกที่ไม่มีเจ้าของเลี้ยงดู บางวันได้กินอาหาร บางวันก็ไม่ได้กิน อดโซหิวโหยมาตลอดปี ได้กินอิ่มก็ในวันนี้ นับว่าเป็นความฉลาดน่าชมเชย ของบัณฑิตผู้บัญญัติลักษณะการทำบุญข้าวประดับดินนี้อย่างมากทีเดียว
พระสงฆ์เป็นเนื้อนาบุญ มีเรื่องมากมายที่ท่านกล่าวไว้ในพระสุตตันตปิฎก โดยเฉพาะในธรรมบทขุททกนิกาย ธัมมปทัฎฐกถา ภาค 2 เรื่องมัฏฐกุณฑลี พระพุทธเจ้าทรงตรัสแก่มัจฉริยพรหมณ์ พ่อของมัฎฐกุณฑลี เมื่อมัฎฐกุณฑลี ลูกชายมีชีวิตอยู่ป่วยลง พ่อไม่ยอมรักษาเพราะกลัวเงินหมด แต่พอมัฏฐกุณฑลี ผู้ลูกชายตายแล้ว พ่อเอาทั้งข้าวทั้งของไปกองให้ลูก แล้วร้องไห้อาลัยหาในป่าช้า บ่นเพ้อให้ลูกมาเอาของ
พระพุทธองค์ตรัสว่า เปล่าประโยชน์ที่จะเอาข้าวเอาของไปทำเช่นนั้น เพราะคนตายแล้ว เขาก็ไปตามคติ (สุคติ ทุคติ) ของเขา ไม่มีวันย้อนกลับมา รับสิ่งของเหล่านั้นแต่อย่างใด ควรจะทอดทานให้แก่สมณชีพราหมณ์ คนยากจน และสัตว์ดิรัจฉาน ของเหล่านี้จะมีอานิสงส์ งอกเงยไปถึงแก่เปรตชนผู้ล่วงลับไปแล้ว เพราะพระสงฆ์ เป็นเนื้อนาบุญ จะเป็นไปได้ไหมว่า พระพุทธองค์ไม่อยากจะให้ของเหล่านั้น ต้องเน่าหรีอเสียทิ้งโดยเปล่าประโยชน์

สำหรับของที่ให้แล้ว วางประดับไว้ตามดินที่เรียกว่า ข้าวประดับดิน ในบุญนี้ก็มีเพียงอาหาร ผู้ได้กินอาหารนิ้โดยตรง ที่เห็นๆ ก็คือสัตว์เดียรัจฉาน ตามนี้ก็ถือว่า ถูกต้องตามพุทธประสงค์แล้ว สำหรับการแจกห่อข้าวน้อยในบุญประดับดินนี้ นิยมแจกตอนเช้า ตั้งแต่ตี 4 จนถึงย่ำรุ่ง ไม่นิยมแจกนอกวัดด้วย

ฮีตที่ ๙ บุญข้าวประดับดินหรือบุญเดือนเก้า นักปราชญ์อีสานโบราณได้กล่าวไว้เป็นบทผญา โดยได้พรรณนาถึงความอุดมสมบูรณ์และประเพณีการทำบุญในเดือนนี้ว่า...

เดือนแปดคล้อยเห็นลมทั่งใบเสียว 
เหลียวเห็นหมู่ปลาขาวแล่นมาโฮมต้อน 
กบเพิ่นนอนคอยท่าฝนมาสิได้ม่วน 
ชวนกันลงเล่นน้ำโห่ฮ้องซั่วแซว 
เดือนเก้ามาฮอดแล้วบ้านป่าขาดอน 
เห็นแต่นกเขางอยคอนส่งเสียงหาซู้ 
เถิงระดูเดือนเก้าอีสานเฮาทุกท้องถิ่น
คงสิเคยได้ยินบุญประดับดินกินก้อนทาน
ทอดน้อมถวาย
การทำบุญข้าวประดับดินก็เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับญาติที่ตายไปแล้ว ชาวอีสานถือเป็นประเพณีที่จะ
ต้องทำกันทุกๆ ปีมิได้ขาด โดยได้กำหนดเอาวัน
แรม 15 คำ เดือนเก้า เป็นเกณฑ์ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "บุญเดือนเก้าดับ" บางท้องถิ่นอาจจะเรียกว่า
"บุญเดือนเก้าลับ" ก็มี ...


เดือนเก้า .. บุญข้าวประดับดิน

บุญเดือนเก้า บุญข้าวประดับดิน คือ บุญที่ทำใน
วันแรมสิบสี่ค่ำ เดือนเก้า(ประมาณเดือนสิงหาคม) เป็นการนำข้าวปลา อาหาร คาวหวาน ผลไม้ หมาก พลู บุหรี่ อย่างละเล็ก อย่างละน้อย แล้วห่อด้วย

ใบตองทำเป็นห่อเล็กๆ นำไปวางตามโคนต้นไม้ใหญ่หรือตามพื้นดินบริเวณรอบๆ เจดีย์หรือโบสถ์ เป็นการทำบุญที่ชาวบ้าน จัดขึ้นเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ล่วงลับไปแล้ว

ความเป็นมา : 

    มีเรื่องเล่าไว้ใพระธรรมบทว่าญาติของพระเจ้าพิมพิสารกินของสงฆ์เมื่อตายแล้วไป เกิดในนรก ครั้นพระเจ้าพิมพิสารถวายทานแด่พระพุทธเจ้าแล้วมิได้อุทิศให้ญาติที่ตาย กลางคืนพวกญาติที่ตายมาแสดงตัวเปล่งเสียงน่ากลัวให้ปรากฏใกล้พระราชนิเวศน์ รุ่งเข้าได้เสด็จไปทูลถามพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ทูลเหตุ ให้ทราบ พระเจ้าพิมพิสารจึงถวายทานอีกแล้วอุทิศส่วนกุศลปไให้ญาติที่ตาย
ไปจึงได้รับส่วน กุศลการทำบุญข้าวประดับดิน ทำเพื่ออุทิศส่วนกุศลแก่ญาติ ผู้ตายแล้ว ถือเป็นประเพณี ที่ต้องทำเป็นประจำทุกปี


มูลเหตุที่ทำ : 

      เนื่องจากคนลาวและไทยอีสาน มีความเชื่อถือสืบต่อกันมาแต่โบราณกาลแล้วว่า กลางคืนของเดือนเก้าดับ(วันแรม 14 ค่ำ เดือน 9)เป็นวันที่ประตูนรกเปิด ยมบาลจะปล่อยให้ผีนรกออกมาเยี่ยมญาติในโลกมนุษย์ ในคืนนี้คืนเดียวเท่านั้นในรอบปี ดังนั้นจึงพากันจัดห่อข้าวไว้ให้แก่ญาติพี่น้องที่ตายไปแล้ว ถือว่าเป็นงานบุญเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่ญาติพี่น้องผู้ล่วงลับไปแล้ว

พิธีกรรม : 

   ในตอนเย็นของวันแรม 13 ค่ำ เดือน 9 ญาติโยมเตรียมจัดอาหารคาวหวาน และหมากพลู บุหรี่ไว้กะให้ได้ 4 ส่วน 

ส่วนหนึ่งเลี้ยงดูกันภายในครอบครัว 
ส่วนที่สองแจกให้ญาติพี่น้อง 
ส่วนที่สามอุทิศให้ญาติที่ตายไปแล้ว และ
ส่วนที่สี่นำไปถวายพระสงฆ์ 

ในส่วนที่สาม ญาติโยมจะห่อข้าวน้อย ซึ่งมีวิธีการห่อคือ ใช้ใบตองห่อ ขนาดเท่าฝ่ามือ ส่วนความยาวนั้นให้ยาวสุดซีกของใบตอง

           อาหารคาวหวาน ที่ใส่ห่อนั้นจะจัดใส่ห่ออย่างละเล็กละน้อย อาทิ
          1. ข้าวเหนียวที่นึ่งสุกแล้วปั้นเป็นก้อนเล็กๆ ขนาดเท่าหัวแม่มือ 1 ก้อน
          2. เนื้อปลา เนื้อไก่ หมู และใส่ลงไปเล็กน้อย ถือว่าเป็นอาหารคาว
          3. กล้วย น้อยหน่า ฝรั่ง มะละกอ มันแกว อ้อย มะละกอสุก หรือขนมหวานอื่นๆ ลงไป (ถือเป็นอาหารหวาน)
          4. หมากหนึ่งคำ บุหรี่หนึ่งมวน เมี่ยงหนึ่งคำ 
          หลังจากนั้นนำใบตองมาห่อเข้ากันแล้วใช้ไม้กลัดหัวท้ายและตรงกลางก็จะได้ห่อข้าวน้อย ที่มีลักษณะยาวๆ

          หมาก พลู หมากหนึ่งคำ บุหรี่หนึ่งมวน เมี่ยงหนึ่งคำ สีเสียด แก่นคูน นำมาห่อใบตองเข้าด้วยกันแล้วไม้กลัดหัวท้าย ก็จะได้ห่อหมาก พลู หลังจากนั้นนำทั้ง 2 ห่อมาผูกกันเป็นคู่ แล้วนำไปมัดรวมเป็นพวง 1 พวง จะใส่ ห่อหมากและห่อพลูจำนวน 9 ห่อ ต่อ 1 พวง

          การวางห่อข้าวน้อย หมายถึง การนำห่อข้าวน้อยไปวางอุทิศส่วนกุศลตามที่ต่างๆ พอถึงเวลาประมาณ 03.00 - 04.00 น.ของวันแรม 14 ค่ำ เดือน 9 ชาวบ้านแต่ละครัวเรือนจะนำเอาห่อข้าวน้อยที่จัดเตรียมได้แล้วไปวางไว้ตามโคนต้นไม้ในวัด วางไว้ตามดินริมกำแพงวัด วางไว้ริมโบสก์ ริมเจดีย์ในวัด การนำเอาห่อข้าวน้อยไปวางตามที่ต่างๆ ในวัดเรียกว่า การยาย(วางเป็นระยะๆ)ห่อข้าวน้อย ซึ่งเวลานำไปวางจะพากันไปทำอย่างเงียบๆ ไม่มีการตีฆ้อง ตีกลองแต่อย่างใด

          หลังจากการยาย (วาง) ห่อข้าวน้อยเสร็จ ชาวบ้านจะกลับบ้านเพื่อเตรียมอาหารใส่บาตรในตอนเช้าของวันแรม 14 ค่ำ เดือน 9 หลังจากนี้น พระสงฆ์จะแสดงพระธรรมเทศนาเกี่ยวกับเรื่องอานิสงฆ์ของบุญข้าวประดับดินให้ฟัง ต่อจากนั้นชาวบ้านจะนำปัจจัยไทยทานถวายแด่พระสงฆ์ เมื่อพระสงฆ์ให้พรเสร็จ ชาวบ้านที่มาทำบุญก็จะกรวดน้ำ อุทิศส่วนกุศลไปให้ญาติ ผู้ที่ล่วงลับไปแล้วทุกๆ คน

ปล. วันนี้วันพระ ทำบุญข้าวประดับดิน
24 สิงหาคม 2557
แรม 14 ค่ำ เดือน 9 ปีมะเมีย

ลำล่องวิญญาณแม่บุญประดับดิน

http://m.youtube.com/watch?v=n91k9Ps0FvI



Wednesday, August 20, 2014

"ยา ก้น ครัว ลุงใหญา" ตอนที่ ๖

" ยา ก้น ครัว ลุงใหญ่ " ตอนที่ ๖

สำหรับวันนี้ ลุงใหญ่ ขอนำเอาเครื่องปรุง เครื่องเทศ และ ส่วนผสมที่ใช้ประกอบอาหารคาว หวานต่างๆ ที่เหลืออยู่ภายในก้นครัวออกมาปรุงเป็น "ยาก้นครัว" ที่ใช้ได้ผล และ รักษาไข้ต่างๆตามแบบฉบับของผมเอง เพื่อแบ่งปันแถมมอบให้แด่เพื่อนๆ ของกลุ่ม "แม่ครัวหัวป่าก์" ที่เคารพทุกๆท่านด้วยนะครับฯ

ยาก้นครัว ลุงใหญ่ ตอนที่ ๖ คือ

-  เสมหะเหนียว , ไอเจ็บคอ
-  ยาขับเสมหะ

... เมื่อมีอาการไอเจ็บคอ หรือ คอเจ็บ มีเสมหะเหนียว มีวิธีรักษาง่ายๆ ดังนี้คือ

๑.  มะแว้ง
๒. ใบมะขาม
๓. ใบกะเพรา

ตามข้อที่ ๑. มะแว้ง ให้นำมารับประทานโดยการ เคี้ยวมะแว้งครั้งละ ๕ ถึง ๑๐ ลูก และ กลืนน้ำลายไปเรื่อยๆ หมดรสขมก็เปลี่ยนใหม่ 

ตามข้อที่ ๒. ใบมะขาม ให้นำเอาใบมะขามมา ๑ กำมือ และ โขลกพอแหลกแล้ว ให้นำเอาไปต้มกับน้ำเปล่า ๒ แก้ว ดื่มรับประทานครั้งละครึ่งแก้วนะครับ

ตามข้อที่ ๓. ใบกะเพรา ใช้กรรมวิธีอย่างเดียวกับใบมะขาม หรือ ตามข้อที่ ๒. นะครับจะได้ประโยชน์อย่างมากต่ออาการ

ปล. ถ้าปฎิบัติตามคำแนะนำดังที่กล่าวมาก็สามารถทำให้อาการเจ็บคอ หรือ คอเจ็บ มีเสมหะเหนียว และไอก็หายได้ ..?

จาก.. ลุงใหญ่
๒๐ สิงหาคม ๒๕๕๗

Friday, August 1, 2014

สองด้าน _ เสมอ โดย.. ลุงใหญ่

.. มีสองด้านที่ตรงกันข้ามกันเสมอ แต่ความจริง
ก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้นไปหมดทุก ๆ เรื่องเสมอ 

.. บางเรื่องอาจจะดีทั้งสองด้าน และ บางเรื่อง
ก็อาจจะเลวทั้งสองด้าน หรือบางครั้งที่ "ใช่" ยังมี
ที่ "ไม่ใช่" รวมอยู่ หรือที่ "ไม่ใช่" มี "ใช่" รวมอยู่ด้วยเช่นกันเสมอ

.. ลุงใหญ่ ขอยกตัวอย่างเช่น...? 

บางทีคนสองคน ถกเถียงกัน ต่างคนต่างมีเหตุผลของตนเอง เพราะต่างก็มีจุดยืนของตนเอง ไม่ต้องพูดว่าใครถูก ใครผิด ใครใช่ ใครไม่ใช่..?  
(เพราะอะไร) ต่างๆ นานา

บางครั้งความ "ถูกผิด" ขึ้นอยู่กับจุดยืนของแต่ละคน หรือ เพราะเบื้องหลังที่แตกต่างกัน ต่างฝ่ายต่างยึดมั่นว่าของตนถูก จึงหามาตรฐานได้ยาก

.. ดังนั่นในทางศาสนาสอนเรื่อง "มัชฌิมา" คือ 
การเดินทางสายกลาง ทุกเรื่องก็ให้ดูที่จุดประสงค์ 
ดูการกระทำของเขา เพราะทุก ๆ เรื่อง มันมีที่มา และ มีที่ไป มีเหตุ และ มีผล สองด้าน 

.. ต้องดูที่เหตุปัจจัยของทางสายกลางเท่านั้น 
จึงจะตัดสินได้อย่างยุติธรรม 

.. คนที่มองอะไรไม่มองสองด้าน ชอบ 
"ฟังความข้างเดียว" เป็นการไม่รู้จักว่าด้วย
หลักเหตุและผล 

.. ต้องเอาเหตุและผลขึ้นมาวางบนโต๊ะพูดจากัน 
จึงจะได้ข้อยุติที่เที่ยงธรรม 

.. จึงจะมองเห็นว่าความแท้จริงมันเป็นสองด้าน 
หรือว่าหลายด้าน หรืออาจจะมีเหตุปัจจัยภายนอกอย่างอื่นรวมอยู่ด้วย...?

ปล. ทุกเรื่องล้วนมีสองด้าน 
ไม่ว่าจะเป็น "ดี"  ชั่ว "ใช่"  ไม่ใช่ หรือ 
จะเป็น "เลว"  ดี  "ถูก"  ผิด "เพิ่ม"  ลด 
 "มี"  ไม่มี  ซึ่งทั่งหมดล้วนมีสองด้านเสมอ 

.. แล้วจะทำอย่างไรจึงจะมองออก ทั้งสองด้าน 
เรื่องนี้ต้องอาศัย "สติปัญญา" เท่านั้นจึงจะเข้าใจ..ฯ

จาก.. ลุงใหญ่
1 สิงหาคม 2557

Tuesday, July 22, 2014

ราง เลือน ..ในบางสิ่ง

เคยไหมหล่ะ ที่ทำสิ่งของบางสิ่ง บางอย่าง หายไป ทั้งๆที่เราอาจจะไม่จำเป็นต้องใช้มัน แต่พอหาไม่เจอ เราก็รู้สึกกระวนกระวาย ไม่เป็นอันทำสิ่งใดทั้งสิ้น เอาแต่หาๆ นึกแล้วนึกอีกว่า นำไปเก็บไว้ที่ไหน บางขณะที่รื้อค้นหา กลับไปพบเจอสิ่งที่เคยคิดว่าหายไปนานแล้ว หมดหวังแล้วกลับมาพบเจอโดยบังเอิญฯ


จริงๆแล้วสิ่งของเหล่านั้นมันไม่ได้หายไปไหนเลย มันนิ่งเฉยอยู่ตรงนั้น ตรงที่เราเก็บไว้ แต่สิ่งที่หายไปคือความทรงจำ และในความทรงจำของแตละคนไม่อาจเชื่อถือได้ _ เพราะแต่ละคนเลือกที่จะจดจำเพียงบางสิ่งเท่า..ฯ


จาก.. ลุงใหญ่

23 กรกฎาคม 2557

ปรารถนา _ จาก.. ลุงใหญ่

ทุกถ้อยคำ
ทุกความรู้สึก
ทุกลมหายใจ
คือเธอฯ

ทุกความสุข ทุกความสมหวัง
ทุกความฉ่ำหวาน ฉันให้เธอ..

ทุกความเจ็บปวด
ทุกความผิดหวัง
ทุกความเงียบเหงา
ฉันจะเก็บมันไว้เอง .. ณ ที่รักฯ 

จาก.. ลุงใหญ่
22 กรกฎาคม 2557

https://www.youtube.com/watch?v=Hk8NhjCoCcA

Thursday, July 17, 2014

หน้าที่

เราทุก ๆ คน ก็จำเป็นต้องทำการ
ตามหน้าที่ของเรา ถ้าไม่มีทางหลีกได้... ?

ปล. ผมเองก็ไม่นึกจะติใครที่ทำการตามหน้าที่
แต่ผู้ที่บกพร่องในหน้าที่ผมต้องติ 

ไม่ว่าจะเป็นบุคคลที่อยู่
ในตำแหน่งสูงลอยละลิ่วปานใดฯ

... เจ้านายจะหวังแต่งานเพื่อเอาน่าอย่างเดียวไม่ได้
เพราะการทำงานใหญ่โดยร่วม ๆ แล้วต้องทำเป็นทีม Teamwork จึงจะถือว่าเป็นความสำเร็จร่วมกัน...

หวังว่า .. เข้าใจตรงกันนะ .. เจ้านายที่รัก

จาก.. ลุงใหญ่
18 กรกฎาคม 2557

เขาก็มีหู .. มีตาเหมือนกัน ?

เป็นธรรมดาผู้หวังกระทำการสำคัญใดๆให้สำเร็จ
ต้องไม่ประมาท อีกฝ่ายหนึ่งว่าเขาไม่รู้เท่าทัน

เพราะเขาก็มีหู มีตาเหมือนกัน...?

ปล. ก่อนที่จะทำการใดๆ 
ควรจะรำลึกตรึกไตรทั้งต้นทั้งปลาย

การกระทำเช่นนี้จะดีร้ายอย่างไรบ้าง
แม้โผงผางทำการใดไป โดยมิได้ตรอง

ภายหลังมาต้องคิดแก้ไข ไม่ใคร่จะดีฯ

จาก.. ลุงใหญ่
17 กรกฎาคม 2557

Wednesday, July 16, 2014

"ยา ก้น ครัว ลุงใหญ่ " ตอนที่ ๕

" ยา ก้น ครัว ลุงใหญ่ " ตอนที่ ๕

สำหรับวันนี้ ลุงใหญ่ ขอนำเอาเครื่องปรุง เครื่องเทศ และ ส่วนผสมที่ใช้ประกอบอาหารคาว หวานต่างๆ ที่เหลืออยู่ภายในก้นครัวออกมาปรุงเป็น "ยาก้นครัว" ที่ใช้ได้ผล และ รักษาไข้ต่างๆตามแบบฉบับของผมเอง เพื่อแบ่งปันแถมมอบให้แด่เพื่อนๆ ของกลุ่ม "แม่ครัวหัวป่าก์" ที่เคารพทุกๆท่านด้วยนะครับฯ

ยาก้นครัว ลุงใหญ่ ตอนที่ ๕ คือ

- อ่อนเพลีย , ไม่มีแรง

... เมื่อมีอาการรู้สึกอ่อนเพลีย หรือ ไม่มีแรง มีวิธีรักษาง่ายๆ ดังนี้คือ

๑. น้ำผึ้ง
๒. น้ำตาลทราย

ตามข้อที่ ๑. น้ำผึ้ง หรือ ข้อที่ ๒.
ให้รับประทาน น้ำผึ้ง หรือ น้ำตาลครั้งละ ๑ ช้อนโต๊ะ 

ตามข้อที่ ๒. หรือ จะรับประทานน้ำตาลทราย โดยให้นำเอาน้ำตาลทรายมาละลายน้ำ หรือ 
น้ำอ้อยงบ , น้ำอ้อยสดๆ ก็จะดีมาก และ น้ำตาลทรายอาจผสมกับน้ำขิงก็ได้ แล้วรับประทาน จะได้ประโยชน์มากขึ้น 

ปล. ถ้าปฎิบัติตามคำแนะนำดังที่กล่าวมาก็สามารถทำให้อาการอ่อนเพลีย ไม่มีแรงก็หายได้ ..?

จาก.. ลุงใหญ่
๑๖ กรกฎาคม ๒๕๕๗

Tuesday, July 15, 2014

วาจา .. พูดให้ถูกกาลเทศะ

.. แม้ตูไม่รู้ซึ่ง  สิ่งใด
หากทะนงใจพูด อาจพลาด
พลาดแล้วก็ใครจะ  เว้นติ
เพราะว่าอวดฉลาดแท้  จึงต้องเสียรอย ..ฯ

ปล. ถ้าคนเราไม่พูดอะไรเลย นอกจากที่
เป็นธุระของตัวแท้ๆ ละก็ โลกจะสุขขึ้นอีก

จาก.. ลุงใหญ่
16 กรกฎาคม 2557

Monday, July 14, 2014

ถึง .. เพื่อน

ปล. จงใช้เพื่อนเป็นที่ปรึกษา ... ไม่ใช่นำทาง

จาก.. ลุงใหญ่ 
15 กรกฎาคม 2557

@ มัวรอให้พวกพ้อง  คอยเตือน
    คงไม่รู้จิตเหมือน   จิตได้
    ใครจะทราบว่าเพือน นึกหวั่น ขึ้นนอ
     ตัวสิเตือนตัวไว้    เหมาะแท้ทุกยาม @

Friday, July 11, 2014

บทสวดมนต์ เพื่อเป็นสิริมงคลแห่งชีวิต

ลุงใหญ่ .. มอบให้เป็นสิริมงคลเนื่องในโอกาสเทศกาลอาสาฬหบูชาและเข้าพรรษาครับ


พระพุทธรูป 88 องค์ เห็นแล้วมีบุญ
ส่งต่อ....บุญนั้นเพิ่มพูนทวีคูณ

http://mp.weixin.qq.com/mp/appmsg/show?__biz=MjM5NTUwMjk2Mg%3D%3D&appmsgid=10000561&itemidx=3&sign=2110c688407fa2a87c3ef63a9561f201&scene=2#wechat_redirect                      

บทสวดมนต์

1. ปุพพะภาคะนะมะการะ (นะโม ตัสสะ)
http://youtu.be/3-f8Pidd4D8

2. สะระณะคะมะนะปาฐะ
http://youtu.be/KRS6hbgtiRs

3. นะมะการะสิทธิคาถา
http://youtu.be/SEdqLYev9s4

4. นะโมการะอัฏฐะกะ (นะโม ๘ บท) 
http://youtu.be/Md_b4OCgUUk

5. ธัมมะจักกัปปะวัตตะนะสุตตัง
http://youtu.be/lxc5Qq7vRXs

6. มังคะละสุตตัง อะเสวะนา จะ พาลานัง 
http://youtu.be/WIHmBpN9TJM

7. รัตนสูตร ความร่มเย็นในชีวิต
http://youtu.be/-C5cZek5YLE

8. กะระณียะเมตตะสุตตัง ให้มีเทวดารัก
http://youtu.be/ksywDHp6k7M

9. ขันธปริตร ป้องกันงูและสัตว์ร้าย
http://youtu.be/Y9cpQJdccPg

10. โมระปะริตตัง เพื่อป้องกันภัย
http://youtu.be/lU47Pkc-dAE

11. วัฏฏะกะปะริตตัง อัตถิ โลเก 
http://youtu.be/bT47XDCTP7I

12. อนุสสะระณะปาฐะ (อิติปิ โส)
http://youtu.be/_2sT7nCJcUY

13. อาฎานาฏิยปริตร คาถาท้าวเวสสุวรรณ 
http://youtu.be/XNb12b8BtIE

14. โพชฌังคปริตร สวดต่ออายุผู้ป่วย
http://youtu.be/8jyGBEeorUw

15. อภยปริตร ไม่ฝันร้าย
http://youtu.be/ci56xRaP2q0

16. มนต์พิธี สักกัตวา
http://youtu.be/B2YUt1oBLRc

17. มงคลจักรวาลใหญ่
http://youtu.be/Y-7h015c8_8

18. เทวะตาอุยโยชะนะคาถา ส่งเทวดา
http://youtu.be/UuCmj_dgrAQ

19. พุทธชัยมงคลคาถา พาหุง
http://youtu.be/Tn718QMk_6o

20. ชะยะปะริตตัง มหาการุณิโก
http://youtu.be/k9JU0ddEHzk

21. สัพพะมังคะละคาถา (ภะวะตุสัพ)
http://youtu.be/UNKZ6gtewm4

22. บทสวดพระคาถาชินบัญชร 9 จบ

http://www.youtube.com/watch?v=CqynMfxGpLw&sns=em

..เพิ่มพูนบุญกุศล สาธุ สาธุ สาธุ.... กราบ กราบ กราบ


Wednesday, July 9, 2014

" ยา ก้น ครัว ลุงใหญ่ " ตอนที่ ๔

" ยา ก้น ครัว ลุงใหญ่ " ตอนที่ ๔

สำหรับวันนี้ ลุงใหญ่ ขอนำเอาเครื่องปรุง เครื่องเทศ และ ส่วนผสมที่ใช้ประกอบอาหารคาว หวานต่างๆ ที่เหลืออยู่ภายในก้นครัวออกมาปรุงเป็น "ยาก้นครัว" ที่ใช้ได้ผล และ รักษาไข้ต่างๆตามแบบฉบับของผมเอง เพื่อแบ่งปันแถมมอบให้แด่เพื่อนๆ ของกลุ่ม "แม่ครัวหัวป่าก์" ที่เคารพทุกๆท่านด้วยนะครับฯ

ยาก้นครัว ลุงใหญ่ ตอนที่ ๔ คือ

- คอเจ็บ หรือ เจ็บคอ 

... เมื่อมีอาการรู้สึกเจ็บคอ หรือ (คอเจ็บ) มีวิธีรักษาง่ายๆ ดังนี้คือ

๑. หญ้างวงช้าง
๒. ไพล
๓. เกลือ
๔. กำยาน

ตามข้อที่ ๑. หญ้างวงช้าง ให้ใช้ทั้งใบ ทั้งต้นและราก นำมาต้มกับน้ำพอให้ได้น้ำใสๆ 
(เช่นหญ้า ๑ ต้นใหญ่กับน้ำ ๒ แก้ว) ใช้น้ำกลั้วคอบ่อยๆ

ตามข้อที่ ๒. ไพล เอาชิ้นขนาดหัวแม่มือ นำมาตำให้แหลกแล้วต้มกับน้ำประมาณ ๒ ถ้วยแก้ว ใช้น้ำกลั้วคอ (แก้อาการเจ็บคอ)

ตามข้อที่ ๓. เกลือ (อย่างที่ใช้ในครัว) เอาเกลือป่นครึ่งช้อนชามาละลายในน้ำครึ่งถ้วยแก้ว และนำมากลั้วคอ (แก้อาการเจ็บคอ)

ตามข้อที่ ๔. กำยาน (หาซื้อได้จากร้านขายยาทั่วไป) ต้มน้ำให้เดือด เทใส่ลงในขัน หรือ หม้อเล็กๆ และ เอากำยานก้อนเท่าเมล็ดถั่วเขียว บี้หรือแกะเป็นชิ้นเล็กๆ ทิ้งลงในน้ำ เอากระดาษม้วนเป็นกรวย ปลายข้างใหญ่ครอบปากหม้อ หรือ ขัน อย่างหลวมๆ ข้างเล็กอมไว้ในปาก ค่อยๆ สูดไอระเหยของกำยานเข้าไปในคออย่างช้าๆ สูดซ้ำๆ จนน้ำเย็นลงและไอระเหยของกำยานหมดไป ทำวันละสองสามครั้ง 
(ต้องทำปลายกรวยทางกว้างให้ใหญ่กว่าปากหม้อเล็กน้อย อย่าทำให้พอดี มิฉะนั้นจะได้ไอระเหยเข้มเกินไป) 

ปล. ถ้าปฎิบัติตามคำแนะนำดังที่กล่าวมาก็สามารถทำให้อาการจากคอเจ็บ หรือ (เจ็บคอ) ก็หายได้ .. ลุงใหญ่ทำมาก่อนครับ

จาก.. ลุงใหญ่
๙ กรกฎาคม ๒๕๕๗

Friday, July 4, 2014

หนทาง ดับทุกข์ ๔ ประการ โดย.. ลุงใหญ่

หนทาง ดับทุกข์  ๔ ประการ โดย.. ลุงใหญ่ 

.. มนุษย์เราทุกคนจะพ้นจากความทุกข์ หรือ ดับทุกข์ ได้นั้นต้องรู้และเข้าใจเครื่องมือในการดับทุกข์ทั้ง ๔ ประการ ดั่งนี้คือ 

ประการที่ ๑. ทุกข์ คือ ความที่สรรพสิ่งทั้งหลาย (รวมทั้งชีวิตของมนุษย์เราด้วย) ทนอยู่ในสภาพเดิมๆไม่ได้ ต้องเปลี่ยนแปลงไหลเรื่อยไม่หยุดนิ่ง ทั้งนี้ก็เนื่องจากถูกบีบคั้นจากธรรมชาติ ซึ่งทุกข์ทั้งหมดมี ๑๒ ประการ คือ

(๑) ความเกิด
(๒) ความแก่
(๓) ความตาย
(๔) ความโศกเศร้า
(๕) ความร่ำไห้รำพัน
(๖) ความทรมานทางกาย
(๗) ความทรมานทางใจ
(๘) ความคับแค้นใจ
(๙) ความประสบในสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา
(๑๐) ความที่พลัดพรากจากของรัก
(๑๑) ความที่ไม่ได้ในสิ่งที่ปรารถนา
(๑๒) ความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ ๕

ประการที่ ๒. สมุทัย คือ เหตุให้เกิดทุกข์ นั่นก็คือ ตัณหา ๓ คือ

(๑) กามตัณหา คือ ความอยากในเรื่องกามคุณ ๑ (กามคุณทั้ง ๕ )

(๒) ภวตัณหา คือ ความอยากมี อยากดี อยากได้ อยากเป็น ๑ 

(๓) วิภวตัณหา คือ ความอยากที่ไม่ต้องการให้มี ให้ได้ ให้เป็น ๑ 

ประการที่ ๓. นิโรธ คือ ความดับทุกข์ นั่นก็คือ ดับที่ตัณหา แต่การดับทุกข์โดยการดับตัณหานั้น ไม่ใช่ดับที่ตัวตัณหาโดยตรง จะต้องไปดับที่ต้นเหตุของตัณหานั่นก็คือ อวิชชา

ประการที่ ๔. มรรค คือ หนทางการปฎิบัติเพื่อการดับทุกข์ นั่นก็คือ ประกอบไปด้วยองค์ ๘ อันมี

เห็นชอบ ๑ 
ดำริห์ชอบ ๑ 
เจรจาชอย ๑ 
การงานชอบ ๑ 
เลี้ยงชีพชอบ ๑ 
เพียรชอบ ๑ 
จิตระลึกชอบ ๑ 
จิตตั้งมั่น ๑ 

ซึ่งมรรคองค์ ๘ นี้ เมื่อย่อแล้วเหลือ ๓ อย่างดังนี้คือ 

(๑) ศีล
(๒) สมาธิ
(๓) ปัญญา  

ซึ่งทั่ง ๓ อย่างนี้เรียกว่า "ไตรสิกขา"

ปล. ธรรมชาติของหนทางดับทุกข์ ทั้ง ๔ ประการนี้แท้จริงแล้วมีอยู่ในกายซึ่งกว้างศอก ยาววา หนาคืบ นี้เอง ทั้งหมดนั่นก็คือ 

ทุกข์ก็อยู่ที่นี่
สมุทัยเหตุให้เกิดทุกข์ก็อยู่ที่นี่ 
นิโรธการดับทุกข์ก็อยู่ที่นี่ 
มรรคหนทางการปฎิบัติเพื่อการดับทุกข์ก็อยู่ที่นี่ 

โดยสรุปแล้ว อริยสัจจ์ ๔ ก็อยู่พร้อมแล้วในกายและในใจนี้เอง คือ จิตหรือใจ ของตัวเราทุกๆคนครับฯ

จาก.. ลุงใหญ่
๔ กรกฎาคม ๒๕๕๗

Wednesday, July 2, 2014

" ยา ก้น ครัว ลุงใหญ่ " ตอนที่ ๓

" ยา ก้น ครัว ลุงใหญ่ " ตอนที่ ๓

สำหรับวันนี้ ลุงใหญ่ ขอนำเอาเครื่องปรุง เครื่องเทศ และ ส่วนผสมที่ใช้ประกอบอาหารคาว หวานต่างๆ ที่เหลืออยู่ภายในก้นครัวออกมาปรุงเป็น "ยาก้นครัว" ที่ใช้ได้ผล และ รักษาไข้ต่างๆตามแบบฉบับของผมเอง เพื่อแบ่งปันแถมมอบให้แด่เพื่อนๆ ของกลุ่ม "แม่ครัวหัวป่าก์" ที่เคารพทุกๆท่านด้วยนะครับฯ

ยาก้นครัว ลุงใหญ่ ตอนที่ ๓ คือ

- ปวดศีรษะ (ปวดหัว)

... เมื่อปวดศีรษะ (ปวดหัว) มีวิธีรักษาดังนี้คือ

๑. มะนาว
๒. มะนาวฝ่านเป็นแว่นๆ

ตามข้อที่ ๑. มะนาว ให้นำเอาลูกมะนาวมาฝ่านเป็นแว่น ๆ ตามข้อที่ ๒ ครับ ให้หนาประมาณ ๖ มม. แล้วเอาปูนแดง(ปูนที่กินกับหมาก) 

ทาหน้าหนึ่งให้ทั่วๆ แล้วเอาหน้าที่ทาปูนแดงนั้นมาปิดที่ขมับตรงข้างที่ปวดศีรษะ หรือ (ปวดหัว) 

แล้วปล่อยไว้จนหลุดออกมาเอง
(ถ้าไม่มีปูนแดง ก็สามารถใช้ปูนขาวที่กินกับหมากได้เช่นกันครับ)

ปล. ถ้าปฎิบัติตามคำแนะนำดังที่กล่าวมาก็สามารถทำให้อาการจากปวดศีรษะหายได้ในปัจจุบันฯ

จาก.. ลุงใหญ่
๓ กรกฎาคม ๒๕๕๗

Wednesday, June 25, 2014

" ยา ก้น ครัว ลุงใหญ่ " ตอนที่ ๒

" ยา ก้น ครัว ลุงใหญ่ " ตอนที่ ๒

สำหรับวันนี้ ลุงใหญ่ ขอนำเอาเครื่องปรุง เครื่องเทศ และ ส่วนผสมที่ใช้ประกอบอาหารคาว หวานต่างๆ ที่เหลืออยู่ภายในก้นครัวออกมาปรุงเป็น "ยาก้นครัว" ที่ใช้ได้ผล และ รักษาไข้ต่างๆตามแบบฉบับของผมเอง เพื่อแบ่งปันแถมมอบให้แด่เพื่อนๆ ของกลุ่ม "แม่ครัวหัวป่าก์" ที่เคารพทุกๆท่านด้วยนะครับฯ

ยาก้นครัว ลุงใหญ่ ตอนที่ ๒ คือ

- คอแห้ง 

... เมื่อคอแห้ง มีวิธีรักษาที่ได้ผลดังนี้คือ

๑. มะนาว
๒. มะกรูด
๓. มะแว้ง

ตามข้อที่ ๑. มะนาว ให้นำเอาลูกมะนาวมาผ่าเป็นซีก ๆ และเอาซีกหนึ่งบีบให้น้ำไหลลงในคอ (แหงนหน้าไว้) อาจจะเอาเกลือนป่นโรยหน้ามะนาวเสียก่อน หรืออาจจะคั้นเอาแต่น้ำมะนาวใส่ช้อนแล้วเทลงในคอก็ได้นะครับ.

ตามข้อที่ ๒. มะกรูด ให้ใช้หรือทำอย่างเดียวกัน ตามข้อที่ ๑ นะครับ

ตามข้อที่ ๓. มะแว้ง  ให้นำเอาผล ลูกมะแว้งสด ๆ ประมาณ ๕ ถึง ๑๐ ลูก ให้นำมาเคี้ยวแล้วอมเอาไว้ในปาก กลืนน้ำลายตามลงไปครั้งละน้อย ๆ พอหมดรสขมจึงคายกากทิ้ง หรือ สามารถกลืนกินไปเลยก็ได้ ทำซ้ำบ่อย ๆ ได้ครับ.

ปล. ถ้าปฎิบัติตามคำแนะนำดังที่กล่าวมาก็สามารถทำให้อาการจากคอแห้ง หายได้ในปัจจุบันฯ

จาก.. ลุงใหญ่
๒๖ มิถุนายน ๒๕๕๗

" อย่า เอา จิต ส่ง ออก "

อย่าเอาจิตออกนอก (ส่งออก) พยายามตั้งไว้ภายในกาย ซึ่ง กว้างศอก ยาววา หนาคืบนี้ 

     อย่าคิดไปถึงอดีตที่ผ่านมาแล้ว อดีตก็คืออดีต ดีก็ดีไปแล้ว  ชั่วก็ชั่วไปแล้ว แก้ไขอะไรไม่ได้
อดีตเป็นแต่เพียง "สัญญา" เท่านั้น 

     อนาคตก็อย่าไปคิดถึง อนาคตเป็นสิ่งที่ยังมา
ไม่ถึง เหตุการณ์มันยังไม่เกิดขึ้น ซึ่งจะเกิดขึ้นจริง ๆ หรือไม่ ไม่มีใครรู้ได้ ดังนั้นอนาคตเป็นเพียง
" สมมุติ "  เท่านั้น การไปคิดถึงอดีตก็ดีหรือคิดถึงอนาคตก็ดีนั้น รังแต่จะเป็นตัว "สมุทัย" เท่านั้น คือ ตัวเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ทั้งนั้น ...? 

ปล. สมุทัย คือ เหตุให้เกิดทุกข์นั่นคือ ตัณหา ๓ ทางคือ 

(๑) กามตัณหา - ความอยากในกามคุณทั้ง ๕ คือ รูป (สิ่งที่ตามองเห็น) เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ (สิ่งที่กายสัมผัส)

(๒) ภวตัณหา - ความอยากมี อยากเป็น อยากได้ 

(๓) วิภวตัณหา - ความอยาก
ไม่ให้มี ไม่ให้เป็น ไม่ให้ได้ 

สรุป : สมุทัย เป็นสิ่งที่จะต้องละ 

สวัสดีวันพระ
จาก.. ลุงใหญ่
๒๖ มิถุนายน ๒๕๕๗
แรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๗ ปีมะเมีย

Tuesday, June 24, 2014

" ยา ก้น ครัว ลุงใหญ่ " ตอนที่ ๑

" ยา ก้น ครัว ลุงใหญ่ " ตอนที่ ๑

สำหรับวันนี้ ลุงใหญ่ ขอนำเอาเครื่องปรุง เครื่องเทศ และ ส่วนผสมที่ใช้ประกอบอาหารคาว หวานต่างๆ ที่เหลืออยู่ภายในก้นครัวออกมาปรุงเป็น "ยาก้นครัว" ที่ใช้ได้ผล และ รักษาไข้ต่างๆตามแบบฉบับของผมเอง เพื่อแบ่งปันแถมมอบให้แด่เพื่อนๆ ของกลุ่ม "แม่ครัวหัวป่าก์" ที่เคารพทุกๆท่านด้วยนะครับฯ

ยาก้นครัว ลุงใหญ่ ตอนที่ ๑ คือ

- ท้องขึ้น 
- ท้องอืด 
- ท้องเฟ้อ

... เมื่อท้องขึ้น ท้องอืด ท้องเฟ้อ มีวิธีรักษาดังนี้คือ
๑. มหาหิงคุ์
๒. ขิงแก่
๓. กานพลู
๔. การบูร
๕. ใบกระเพา

ตามข้อที่ ๑ มหาหิงคุ์ ใช้สำหรับเด็กนะครับ คือ เอามหาหิงคุ์ (ซื้อจากร้านขายยา) ฝนกับน้ำ ทาที่หน้าท้องแล้วเอาผ้าปิดไว้ จะผายลมแล้วท้องหายอืด

ตามข้อที่ ๒. ขิงแก่ นำเอามาฝ่านเป็นแว่นๆ หรือ ทุบ ใส่หม้อต้มกับน้ำปริมาณพอสมควร (ถ้าน้ำน้อยไปจะเผ็ดมาก  ต้องเอาน้ำเจือเวลาใช้) ดื่มเฉพาะน้ำ ควรดื่มขณะอุ่นๆ อาจใส่น้ำตาลด้วยก็ได้แต่อย่าให้หวานมาก.

ตามข้อที่ ๓. กานพลู เคี้ยวกานพลูสามสี่ดอก กลื่นน้ำลายเป็นระยะๆ ให้สารสำคัญในกานพลูลงไปในกรเพาะ เคี้ยวจนหมดรสเผ็ดของกานพูลจึงบ้วมทิ้ง เคี้ยวใหม่อีกถ้าจำเป็น.

ตามข้อที่ ๔. การบูร เอาการบูรก้อนขนาดหัวไม้ขีดไฟใส่ในถ้วยกระเบื้อง (ถ้วยชา) เทน้ำร้อนจัดๆ ลงไปประมาณ ๒ ช้อนโต๊ะ คนให้การบูรละลาย (ละลายไม่หมด) ทิ้งให้เย็นลงพอควร แล้วดื่มเฉพาะน้ำละลายครึ่งหนึ่งหรือทั้งหมด

ตามข้อที่ ๕. ใบกะเพรา เอาใบกระเพรา ๑ กำมือ ใส่ในหม้อเล็ก ใส่น้ำประมาณ ๒ แก้ว ใช้ไฟอ่อนต้มพอเดือดแล้วยกลงปิดฝาไว้ (อย่าเคี่ยวหรือใช้ไฟแรง เพราะสารสำคัญจะระเหยไปหมด) ดื่มอย่างน้ำชา

จาก.. ลุงใหญ่
๒๔ มิถุนายน ๒๕๕๗

Monday, June 23, 2014

... ความเป็นจริงแท้ ...?

เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ในมุมของลุงใหญ่

โดยแท้จริงของชีวิตคนเราแล้ว มันเป็น
ความทุกข์ที่ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป อยู่ตลอดเวลา 

... นอกจากทุกข์แล้ว ไม่มีอะไรเลย ... 

ชีวิตของคนเรานั้นไม่มีอะไรเลย นอกจากทุกข์ 

มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น 
มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่
มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป 

นอกจากทุกข์แล้วไม่มีอะไรเกิด
นอกจากทุกข์แล้วไม่มีอะไรดับ 

" สุดท้ายก็ว่างเปล่า " ในปลายทางเดินของชีวิต

เหนื่อยกับงานต้องอดทน 
เหนื่อยกับคนต้องอดกลั้น 
เหนื่อยชีวิตต้องฝ่าฟัน 
เหนื่อยทุกวันคือเหนื่อยใจ ...? 

ปล. ขอส่งกำลังใจให้กับตัวเองและทุกๆคนด้วยครับฯ

จาก.. ลุงใหญ่ 
24 มิถุนายน 2557

สติ กับ ฝัน

ปลดภาระบางสิ่งโยนทิ้งไป
จุดหมายนั้นซุกซ่อนอยู่ที่ไหน
อีกกี่ร้อย กี่หมื่น กี่พันไมล์
ไม่ห่างไกลเกินใจ -- หากใฝ่ปอง 

มีเธอ มีฉัน 
มีเราสอง -- มีฝันมากมาย
ให้เธอ ให้ฉัน จับจอง..? 

มาสร้าง " สติ " ทุกย่างเท้าที่ก้าวเดินให้อยู่คู่เราตลอดไป

จาก.. ลุงใหญ่ 
23 มิถุนายน 2557