Saturday, August 30, 2014

"เล่าเฒ่า..ที่รู้" โดย..ลุงใหญ่

"เล่าเฒ่า..ที่รู้" โดย.. ลุงใหญ่

น้ำพริกแกง & เครื่องแกง ต่างๆของไทยๆ โบราณ สูตรลุงใหญ่

.. น้ำพริกแกง & เครื่องแกงไทยๆโบราณ เป็นวัตถุดิบที่สำคัญมากๆและจำเป็นต่อการปรุงอาหารมาก 

เครื่องแกง หรือ ส่วนผสมที่นำมาผสมผสานกันเพื่อให้เกิดรสชาติใหม่ นั่นก็คือ "น้ำพริกแกง" ที่ทำให้อาหารไทยต่างๆ ประเภทแกง มีรสกลมกล่อม กลิ่นหอม อร่อย ซึ่งจะมีรสชาติ เค็ม เผ็ด เปรี้ยว และหวาน แต่ละประเภท
จะแตกต่างกันไปตามการปรุงอาหารนั้นๆนะครับทุกๆท่านที่เคารพ

.. ในเมืองไทยของเราแบ่งออกเป็น ๔ ภาค ในแต่ภาคก็จะมีสูตรน้ำพริกแกง และ เครื่องแกงที่ใช้ทำอาหารแตกต่างกันไปในแต่ละภาคของบ้านเราตามท้องถิ่นที่มักจะหาและปลูกกันเองได้ง่ายก็มี

.. ส่วนแกงต่างๆ ที่ในแต่ละภาคมักนิยมใช้ในอาหารไทยก็ต้องมีเครื่องแกงและใช้วัตถุดิบคล้ายๆกันบ้างก็มี อาทิเช่นแกงต่างๆดังนี้คือ แกงเผ็ด , แกงคั่ว , แกงป่า , แกงพะแนง , แกงกะหรี่ , แกงส้ม , แกงเขียวหวาน , แกงมัสมั่น , แกงไตปลา และ แกงเหลือง ฯลฯ

.. ต่อไปนี้ขอแนะนำส่วนผสมต่างของ " น้ำพริกแกง & เครื่องแกง" จะมีวัตถุดิบและวิธีการเตรียมดังต่อไปนี้

1. พริกแห้ง แยกได้เป็นสองชนิดคือ พริกแห้งเม็ดใหญ่ และพริกขี้หนูแห้ง

วิธีการเตรียม : 

- นำไปแช่น้ำให้นุ่มก่อนนำมาโขลก ถ้าไม่ต้องการให้มีความเผ็ดมากให้ผ่าเอาเม็ดออก

2. ผิวมะกรูด 

วิธีการเตรียม : 

- ฝานผิวสีเขียวเป็นชิ้นเล็กๆ ไม่ให้มีสี่ขาวติดมามาก แล้วนำมาหั่นซ้ำให้ละเอียด

3. ตะไคร้ 

วิธีการเตรียม : 

- ล้างให้สะอาดแล้วตัดโคนราก และใบทิ้งไป หั่นเป็นชิ้นบางๆ

4. รากผักชี

วิธีการเตรียม : 

- ล้างให้สะอาดตัดเอาด้านโคนต้นจนถึงราก

5. กระชาย

วิธีการเตรียม : 

- ล้างให้สะอาด ขัดคราบดินออกด้วยแปลง และขูตเอาผิวออก ล้างน้ำอีกครั้ง หั่นให้ละเอียด

6. พริกสด หรือ พริกขี้หนูสด

วิธีการเตรียม : 

- ล้างให้สะอาด หั่นแบบหยาบๆ หรือทุบให้แตก ตามลักษณะของแกง

7. กระเทียม 

วิธีการเตรียม :

- ปอกเปลือก ล้างให้สะอาด และหั่นเป็นชั้นบางๆ

8. หอมแดง

วิธีการเตรียม : 

- ปอกเปลือก ล้างให้สะอาด และหั่นเป็นชิ้นบางๆ

9. ใบมะกรูด

วิธีการเตรียม : 

- ล้างน้ำให้สะอาด ฉีกก้านตรงกลางออก แล้วหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ

10. เครื่องเทศ ต่างๆ ได้แก่ เมล็ดผักชี หรือ ลูกผักชี, เมล็ดยี่หร่า, ดอกจันทร์แปดกรีบ, ลูกกระวาน, ใบกระวาน, กานพลู, ดีปลี, พริกหมอ หรือมะแข่น, อบเชย

วิธีการเตรียม : 

กรณีซื้อเครื่องเทศรวมแบสำเร็จรูป

- นำมาโขลกให้ละเอียด และเพิ่มเติมอย่างอื่นตามที่เราต้องการ

กรณีเตรียมของแต่ละอย่างเอง

- เมล็ดผักชี ยี่หร่า กานพลู คั่วแยกให้หอม แล้วนำมาโขลกให้ละเอียด

- ดอกจันทร์ ลูกกระวาน คั่ว ทุบให้แตก แล้วเอาเนื้อข้างใน

- ใบกระวาน ฉีกก้านกลางออก ล้างให้สะอาด แล้วนำมาคั่ว

- อบเชย
- เมล็ดผักชี 
- ยี่หร่า                                 - พริกหมอ 
- ลูกกระวาน                          - ดอกจันทร์
ทั้งหมดนำมาคั่วแล้วโขลกให้ละเอียดเพื่อเพิ่มรสชาตของอาหาร

ปล. เพื่อนสมาชิก ท่านใดที่สนใจสูตรน้ำพริกแกง & เครื่องแกงไทยต่างๆ ก็ยินดีนะครับ ..ฯ

การทำอาหารไทย ได้เรียนรู้การผสมวัตถุดิบต่างๆ แล้วนำมาหัน ซอย โขลก ตำ ทุบ ให้ละเอียดได้พิจารณาในเครื่องปรุงดังกล่าวก็ถือว่าได้ฝึก "สติ " ทำสมาธิไปในตัวด้วยนะครับทุกๆท่าน

ขอให้มีสุขกับการทำอาหารไทยๆโบราณทานกันเองดีกว่านะครับ..

สวัสดีครับฯ

จาก.. ลุงใหญ่ 
30 สิงหาคม 2557



Thursday, August 28, 2014

นารี _ ร้างไป

@ อันนารีรูปงามทรามสวาท
ถ้าแม้ไร้มารยาทอันงามสม
คงไม่มีชายดีจะอบรม
มีแต่ชมเพื่อพลางแล้วร้างไปฯ

ปล. ผู้ _ ชายได้ตายไปแล้วเป็นครั้งคราว และหนอนกินสิ้นแล้ว แต่ไม่มีที่ตาย _ เพราะรักเลย..?

จาก.. ลุงใหญ่
29 สิงหาคม 2557

Sunday, August 24, 2014

บุญเดือนเก้า : บุญข้าวประดับดิน


ทำบุญข้าวประดับดิน โดย. ลุงใหญ่

การทำบุญข้าวประดับดิน เป็นประเพณีหนึ่งในฮีตสิบสอง นิยมทำกันในวันแรม 14 ค่ำ เดือนเก้า หรือที่เรียกว่า บุญเดือนเก้า บุญข้าวประดับดิน เป็นบุญที่ทำเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่ เปรต (ชาวอีสานบางถิ่นเรียก เผต) หรือญาติมิตรที่ตายไปแล้ว ข้าวประดับดิน ได้แก่ ข้าวและอาหารคาวหวาน พร้อมหมากพลู บุหรี่ที่ห่อด้วยใบตอง กล้วย นำไปวางไว้ตามใต้ต้นไม้ แขวนไว้ตามกิ่งไม้ ตามบริเวณกำแพงวัดบ้าง (คนอีสานโบราณเรียกกำแพงวัดว่า ต้ายวัด) หรือวางไว้ตามพื้นดิน เรียกว่า "ห่อข้าวน้อย" พร้อมกับเชิญวิญญาณของญาติมิตร นำภัตตาหารไปถวายแด่พระภิกษุ สามเณร แล้วอุทิศส่วนกุศลแก่ผู้ตาย โดยหยาดน้ำ (กรวดน้ำ) ไปให้ด้วย

มูลเหตุของความเป็นมา ของเรื่องการทำบุญข้าวประดับดินนี้ เกิดจากความเชื่อตามนิทานธรรมบท ว่า 
    "ญาติของพระเจ้าพิมพิสารได้ยักยอกเงินวัด ของสงฆ์ต่างๆ ไปเป็นของตนเอง ในสมัยพระกัสสปะพุทธเจ้า พวกอดีตญาติของพระเจ้าพิมพิสารเหล่านั้น ครั้นตายไปแล้วได้ไปเกิดเป็นเปรตในนรกตลอดพุทธันดร เมื่อพระเจ้าพิมพิสารถวายทานแด่ พระสมณโคดมพุทธเจ้า ในภัททกัปป์นี้ ก็ไม่ได้ตรวจน้ำอุทิศส่วนกุศลไปให้แก่พวกญาติเหล่านั้น พอตกกลางคืนพวกเปรตญาติของพระเจ้าพิมพิสารเหล่านั้น ได้มาส่งเสียงร้องอันโหยหวนและแสดงรูปร่างน่ากลัวให้แก่พระเจ้าพิมพิสารได้ยินและเห็น พอเช้าวันรุ่งขึ้นได้เสด็จไปถามพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ทรงเล่าเรื่องราว ที่เป็นมูลเหตุให้พระเจ้าพิมพิสารได้ทรงทราบ พระเจ้าพิมพิสารได้ทำบุญถวายทานอีก แล้วทรงอุทิศส่วนกุศลไปให้ พวกญาติที่ตายไปแล้วได้รับส่วนกุศลแล้ว ได้มาแสดงตนให้พระเจ้าพิมพิสารเห็นและทราบว่า ทุกข์ที่พวกญาติได้รับนั้นทุเลาเบาบางลงแล้ว เพราะการอุทิศส่วนกุศลของพระองค์" ชาวอีสานจึงถือเอามูลเหตุนี้ ทำบุญข้าวประดับดิน 
ติดต่อกันมา

วิธีดำเนินการ พอถึงวันแรม 13 ค่ำ เดือนเก้า ชาวบ้านเตรียมอาหาร มีทั้งคาวหวาน ได้แก่ เนื้อ ปลา เผือก มัน ข้าวต้ม ขนม น้ำอ้อย น้ำตาล ผลไม้ เป็นต้น และหมากพลู บุหรี่ไว้ไห้พร้อม เพื่อจัดทำเลี้ยงกันในครอบครัวบ้าง และทำบุญถวายพระภิกษุสามเณรบ้าง ส่วนสำหรับอุทิศให้ญาติที่ตาย ใช้ห่อด้วยใบตองกล้วย อาหารคาวห่อหนึ่ง อาหารหวานห่อหนึ่ง และหมากพลูบุหรี่ห่อหนึ่ง เย็บหุ้มปลาย แต่บางคนใส่ใบตองที่เย็บเป็นกระทงก็มี หรือหากไม่แยกกัน อาจเอาอาหารทั้งคาวหวาน หมากพลู บุหรี่ ใส่ในห่อหรือกระทงเดียวกันก็ได้ สิ่งของเหล่านี้ จะมากน้อยก็แล้วแต่ศรัทธา

พอเช้าวันรุ่งขึ้น คือวันแรม 14 ค่ำ เดือนเก้า ตอนเช้ามืด คือ เวลาประมาณ 4 ถึง 6 นาฬิกา ชาวบ้านก็นำอาหาร หมากพลู บุหรี่ที่ห่อใส่กระทงแล้วไปวางไว้ตามพื้นดิน วางแจกไว้ตามบริเวณโบสถ์ ต้นโพธิ์ ศาลา ตามกิ่งไม้หรือต้นไม้ใหญ่ๆ ในบริเวณวัด พร้อมกับจุดเทียนไว้ และบอกกล่าวแก่เปรตให้มารับเอาสิ่งของและผลบุญด้วย

บางหมู่บ้าน จะเอาอาหารที่อุทิศให้แก่ผู้ตายหลังทำพิธีแล้ว ก็ฝังไว้ในดินก็มี เพื่อไม่ให้ผู้ใดผู้หนึ่งกินอาหารที่เป็นเดนเปรต เพราะกลัวจะกลายเป็นเปรตไปด้วย การวางอาหารไว้ตามพื้นดิน หรือตามที่ต่างๆ เพื่อจะให้พวกเปรตมารับเอาของอุทิศให้ได้ง่าย โดยไม่ต้อง มีพิธีรีตอง เสร็จพิธีอุทิศผลบุญส่งไปให้เปรตแล้ว ชาวบ้านก็จะนำอาหารที่เตรียมไว้อีกส่วนหนึ่ง ไปตักบาตรและถวายทานแด่พระภิกษุ สามเณร


มีการสมาทานศีลฟังเทศน์ และกรวดน้ำเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้ผู้ล่วงลับต่อไป การทำบุญข้าวประดับดิน บางท้องถิ่นมีการห่ออาหารคาว อาหารหวาน หมาก พลู บุหรี่ ไปวางไว้ตามที่ต่างๆ บริเวณวัด ภายหลังการถวายภัตตาหารแด่พระภิกษุสามเณรแล้วก็มี เป็นเสร็จพิธีทำบุญข้าวประดับดิน


ข้อสังเกต การที่ชาวบ้านนำข้าวปลาอาหาร ไปวางไว้ตามข้างวัดบ้าง ข้างกำแพงบ้าง ผูกไว้ตามกิ่งไม้บ้าง ด้วยเข้าใจว่า ญาติที่ได้รับการปลดปล่อยจากนรก จะได้มากินในวันเดือนดับนี้ จะเป็นไปได้หรือไม่นั้น เป็นเรื่องเหลือวิสัยที่จะชี้ตรงๆ ว่า ญาติเขาเหล่านั้นจะได้รับจริงหรือไม่ แต่สิ่งที่แน่นอนที่สุดก็คือ

เป็นการให้อาหารแก่สัตว์จรจัด สัตว์บางจำพวกที่ไม่มีเจ้าของเลี้ยงดู บางวันได้กินอาหาร บางวันก็ไม่ได้กิน อดโซหิวโหยมาตลอดปี ได้กินอิ่มก็ในวันนี้ นับว่าเป็นความฉลาดน่าชมเชย ของบัณฑิตผู้บัญญัติลักษณะการทำบุญข้าวประดับดินนี้อย่างมากทีเดียว
พระสงฆ์เป็นเนื้อนาบุญ มีเรื่องมากมายที่ท่านกล่าวไว้ในพระสุตตันตปิฎก โดยเฉพาะในธรรมบทขุททกนิกาย ธัมมปทัฎฐกถา ภาค 2 เรื่องมัฏฐกุณฑลี พระพุทธเจ้าทรงตรัสแก่มัจฉริยพรหมณ์ พ่อของมัฎฐกุณฑลี เมื่อมัฎฐกุณฑลี ลูกชายมีชีวิตอยู่ป่วยลง พ่อไม่ยอมรักษาเพราะกลัวเงินหมด แต่พอมัฏฐกุณฑลี ผู้ลูกชายตายแล้ว พ่อเอาทั้งข้าวทั้งของไปกองให้ลูก แล้วร้องไห้อาลัยหาในป่าช้า บ่นเพ้อให้ลูกมาเอาของ
พระพุทธองค์ตรัสว่า เปล่าประโยชน์ที่จะเอาข้าวเอาของไปทำเช่นนั้น เพราะคนตายแล้ว เขาก็ไปตามคติ (สุคติ ทุคติ) ของเขา ไม่มีวันย้อนกลับมา รับสิ่งของเหล่านั้นแต่อย่างใด ควรจะทอดทานให้แก่สมณชีพราหมณ์ คนยากจน และสัตว์ดิรัจฉาน ของเหล่านี้จะมีอานิสงส์ งอกเงยไปถึงแก่เปรตชนผู้ล่วงลับไปแล้ว เพราะพระสงฆ์ เป็นเนื้อนาบุญ จะเป็นไปได้ไหมว่า พระพุทธองค์ไม่อยากจะให้ของเหล่านั้น ต้องเน่าหรีอเสียทิ้งโดยเปล่าประโยชน์

สำหรับของที่ให้แล้ว วางประดับไว้ตามดินที่เรียกว่า ข้าวประดับดิน ในบุญนี้ก็มีเพียงอาหาร ผู้ได้กินอาหารนิ้โดยตรง ที่เห็นๆ ก็คือสัตว์เดียรัจฉาน ตามนี้ก็ถือว่า ถูกต้องตามพุทธประสงค์แล้ว สำหรับการแจกห่อข้าวน้อยในบุญประดับดินนี้ นิยมแจกตอนเช้า ตั้งแต่ตี 4 จนถึงย่ำรุ่ง ไม่นิยมแจกนอกวัดด้วย

ฮีตที่ ๙ บุญข้าวประดับดินหรือบุญเดือนเก้า นักปราชญ์อีสานโบราณได้กล่าวไว้เป็นบทผญา โดยได้พรรณนาถึงความอุดมสมบูรณ์และประเพณีการทำบุญในเดือนนี้ว่า...

เดือนแปดคล้อยเห็นลมทั่งใบเสียว 
เหลียวเห็นหมู่ปลาขาวแล่นมาโฮมต้อน 
กบเพิ่นนอนคอยท่าฝนมาสิได้ม่วน 
ชวนกันลงเล่นน้ำโห่ฮ้องซั่วแซว 
เดือนเก้ามาฮอดแล้วบ้านป่าขาดอน 
เห็นแต่นกเขางอยคอนส่งเสียงหาซู้ 
เถิงระดูเดือนเก้าอีสานเฮาทุกท้องถิ่น
คงสิเคยได้ยินบุญประดับดินกินก้อนทาน
ทอดน้อมถวาย
การทำบุญข้าวประดับดินก็เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับญาติที่ตายไปแล้ว ชาวอีสานถือเป็นประเพณีที่จะ
ต้องทำกันทุกๆ ปีมิได้ขาด โดยได้กำหนดเอาวัน
แรม 15 คำ เดือนเก้า เป็นเกณฑ์ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "บุญเดือนเก้าดับ" บางท้องถิ่นอาจจะเรียกว่า
"บุญเดือนเก้าลับ" ก็มี ...


เดือนเก้า .. บุญข้าวประดับดิน

บุญเดือนเก้า บุญข้าวประดับดิน คือ บุญที่ทำใน
วันแรมสิบสี่ค่ำ เดือนเก้า(ประมาณเดือนสิงหาคม) เป็นการนำข้าวปลา อาหาร คาวหวาน ผลไม้ หมาก พลู บุหรี่ อย่างละเล็ก อย่างละน้อย แล้วห่อด้วย

ใบตองทำเป็นห่อเล็กๆ นำไปวางตามโคนต้นไม้ใหญ่หรือตามพื้นดินบริเวณรอบๆ เจดีย์หรือโบสถ์ เป็นการทำบุญที่ชาวบ้าน จัดขึ้นเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ล่วงลับไปแล้ว

ความเป็นมา : 

    มีเรื่องเล่าไว้ใพระธรรมบทว่าญาติของพระเจ้าพิมพิสารกินของสงฆ์เมื่อตายแล้วไป เกิดในนรก ครั้นพระเจ้าพิมพิสารถวายทานแด่พระพุทธเจ้าแล้วมิได้อุทิศให้ญาติที่ตาย กลางคืนพวกญาติที่ตายมาแสดงตัวเปล่งเสียงน่ากลัวให้ปรากฏใกล้พระราชนิเวศน์ รุ่งเข้าได้เสด็จไปทูลถามพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ทูลเหตุ ให้ทราบ พระเจ้าพิมพิสารจึงถวายทานอีกแล้วอุทิศส่วนกุศลปไให้ญาติที่ตาย
ไปจึงได้รับส่วน กุศลการทำบุญข้าวประดับดิน ทำเพื่ออุทิศส่วนกุศลแก่ญาติ ผู้ตายแล้ว ถือเป็นประเพณี ที่ต้องทำเป็นประจำทุกปี


มูลเหตุที่ทำ : 

      เนื่องจากคนลาวและไทยอีสาน มีความเชื่อถือสืบต่อกันมาแต่โบราณกาลแล้วว่า กลางคืนของเดือนเก้าดับ(วันแรม 14 ค่ำ เดือน 9)เป็นวันที่ประตูนรกเปิด ยมบาลจะปล่อยให้ผีนรกออกมาเยี่ยมญาติในโลกมนุษย์ ในคืนนี้คืนเดียวเท่านั้นในรอบปี ดังนั้นจึงพากันจัดห่อข้าวไว้ให้แก่ญาติพี่น้องที่ตายไปแล้ว ถือว่าเป็นงานบุญเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่ญาติพี่น้องผู้ล่วงลับไปแล้ว

พิธีกรรม : 

   ในตอนเย็นของวันแรม 13 ค่ำ เดือน 9 ญาติโยมเตรียมจัดอาหารคาวหวาน และหมากพลู บุหรี่ไว้กะให้ได้ 4 ส่วน 

ส่วนหนึ่งเลี้ยงดูกันภายในครอบครัว 
ส่วนที่สองแจกให้ญาติพี่น้อง 
ส่วนที่สามอุทิศให้ญาติที่ตายไปแล้ว และ
ส่วนที่สี่นำไปถวายพระสงฆ์ 

ในส่วนที่สาม ญาติโยมจะห่อข้าวน้อย ซึ่งมีวิธีการห่อคือ ใช้ใบตองห่อ ขนาดเท่าฝ่ามือ ส่วนความยาวนั้นให้ยาวสุดซีกของใบตอง

           อาหารคาวหวาน ที่ใส่ห่อนั้นจะจัดใส่ห่ออย่างละเล็กละน้อย อาทิ
          1. ข้าวเหนียวที่นึ่งสุกแล้วปั้นเป็นก้อนเล็กๆ ขนาดเท่าหัวแม่มือ 1 ก้อน
          2. เนื้อปลา เนื้อไก่ หมู และใส่ลงไปเล็กน้อย ถือว่าเป็นอาหารคาว
          3. กล้วย น้อยหน่า ฝรั่ง มะละกอ มันแกว อ้อย มะละกอสุก หรือขนมหวานอื่นๆ ลงไป (ถือเป็นอาหารหวาน)
          4. หมากหนึ่งคำ บุหรี่หนึ่งมวน เมี่ยงหนึ่งคำ 
          หลังจากนั้นนำใบตองมาห่อเข้ากันแล้วใช้ไม้กลัดหัวท้ายและตรงกลางก็จะได้ห่อข้าวน้อย ที่มีลักษณะยาวๆ

          หมาก พลู หมากหนึ่งคำ บุหรี่หนึ่งมวน เมี่ยงหนึ่งคำ สีเสียด แก่นคูน นำมาห่อใบตองเข้าด้วยกันแล้วไม้กลัดหัวท้าย ก็จะได้ห่อหมาก พลู หลังจากนั้นนำทั้ง 2 ห่อมาผูกกันเป็นคู่ แล้วนำไปมัดรวมเป็นพวง 1 พวง จะใส่ ห่อหมากและห่อพลูจำนวน 9 ห่อ ต่อ 1 พวง

          การวางห่อข้าวน้อย หมายถึง การนำห่อข้าวน้อยไปวางอุทิศส่วนกุศลตามที่ต่างๆ พอถึงเวลาประมาณ 03.00 - 04.00 น.ของวันแรม 14 ค่ำ เดือน 9 ชาวบ้านแต่ละครัวเรือนจะนำเอาห่อข้าวน้อยที่จัดเตรียมได้แล้วไปวางไว้ตามโคนต้นไม้ในวัด วางไว้ตามดินริมกำแพงวัด วางไว้ริมโบสก์ ริมเจดีย์ในวัด การนำเอาห่อข้าวน้อยไปวางตามที่ต่างๆ ในวัดเรียกว่า การยาย(วางเป็นระยะๆ)ห่อข้าวน้อย ซึ่งเวลานำไปวางจะพากันไปทำอย่างเงียบๆ ไม่มีการตีฆ้อง ตีกลองแต่อย่างใด

          หลังจากการยาย (วาง) ห่อข้าวน้อยเสร็จ ชาวบ้านจะกลับบ้านเพื่อเตรียมอาหารใส่บาตรในตอนเช้าของวันแรม 14 ค่ำ เดือน 9 หลังจากนี้น พระสงฆ์จะแสดงพระธรรมเทศนาเกี่ยวกับเรื่องอานิสงฆ์ของบุญข้าวประดับดินให้ฟัง ต่อจากนั้นชาวบ้านจะนำปัจจัยไทยทานถวายแด่พระสงฆ์ เมื่อพระสงฆ์ให้พรเสร็จ ชาวบ้านที่มาทำบุญก็จะกรวดน้ำ อุทิศส่วนกุศลไปให้ญาติ ผู้ที่ล่วงลับไปแล้วทุกๆ คน

ปล. วันนี้วันพระ ทำบุญข้าวประดับดิน
24 สิงหาคม 2557
แรม 14 ค่ำ เดือน 9 ปีมะเมีย

ลำล่องวิญญาณแม่บุญประดับดิน

http://m.youtube.com/watch?v=n91k9Ps0FvI



Wednesday, August 20, 2014

"ยา ก้น ครัว ลุงใหญา" ตอนที่ ๖

" ยา ก้น ครัว ลุงใหญ่ " ตอนที่ ๖

สำหรับวันนี้ ลุงใหญ่ ขอนำเอาเครื่องปรุง เครื่องเทศ และ ส่วนผสมที่ใช้ประกอบอาหารคาว หวานต่างๆ ที่เหลืออยู่ภายในก้นครัวออกมาปรุงเป็น "ยาก้นครัว" ที่ใช้ได้ผล และ รักษาไข้ต่างๆตามแบบฉบับของผมเอง เพื่อแบ่งปันแถมมอบให้แด่เพื่อนๆ ของกลุ่ม "แม่ครัวหัวป่าก์" ที่เคารพทุกๆท่านด้วยนะครับฯ

ยาก้นครัว ลุงใหญ่ ตอนที่ ๖ คือ

-  เสมหะเหนียว , ไอเจ็บคอ
-  ยาขับเสมหะ

... เมื่อมีอาการไอเจ็บคอ หรือ คอเจ็บ มีเสมหะเหนียว มีวิธีรักษาง่ายๆ ดังนี้คือ

๑.  มะแว้ง
๒. ใบมะขาม
๓. ใบกะเพรา

ตามข้อที่ ๑. มะแว้ง ให้นำมารับประทานโดยการ เคี้ยวมะแว้งครั้งละ ๕ ถึง ๑๐ ลูก และ กลืนน้ำลายไปเรื่อยๆ หมดรสขมก็เปลี่ยนใหม่ 

ตามข้อที่ ๒. ใบมะขาม ให้นำเอาใบมะขามมา ๑ กำมือ และ โขลกพอแหลกแล้ว ให้นำเอาไปต้มกับน้ำเปล่า ๒ แก้ว ดื่มรับประทานครั้งละครึ่งแก้วนะครับ

ตามข้อที่ ๓. ใบกะเพรา ใช้กรรมวิธีอย่างเดียวกับใบมะขาม หรือ ตามข้อที่ ๒. นะครับจะได้ประโยชน์อย่างมากต่ออาการ

ปล. ถ้าปฎิบัติตามคำแนะนำดังที่กล่าวมาก็สามารถทำให้อาการเจ็บคอ หรือ คอเจ็บ มีเสมหะเหนียว และไอก็หายได้ ..?

จาก.. ลุงใหญ่
๒๐ สิงหาคม ๒๕๕๗

Friday, August 1, 2014

สองด้าน _ เสมอ โดย.. ลุงใหญ่

.. มีสองด้านที่ตรงกันข้ามกันเสมอ แต่ความจริง
ก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้นไปหมดทุก ๆ เรื่องเสมอ 

.. บางเรื่องอาจจะดีทั้งสองด้าน และ บางเรื่อง
ก็อาจจะเลวทั้งสองด้าน หรือบางครั้งที่ "ใช่" ยังมี
ที่ "ไม่ใช่" รวมอยู่ หรือที่ "ไม่ใช่" มี "ใช่" รวมอยู่ด้วยเช่นกันเสมอ

.. ลุงใหญ่ ขอยกตัวอย่างเช่น...? 

บางทีคนสองคน ถกเถียงกัน ต่างคนต่างมีเหตุผลของตนเอง เพราะต่างก็มีจุดยืนของตนเอง ไม่ต้องพูดว่าใครถูก ใครผิด ใครใช่ ใครไม่ใช่..?  
(เพราะอะไร) ต่างๆ นานา

บางครั้งความ "ถูกผิด" ขึ้นอยู่กับจุดยืนของแต่ละคน หรือ เพราะเบื้องหลังที่แตกต่างกัน ต่างฝ่ายต่างยึดมั่นว่าของตนถูก จึงหามาตรฐานได้ยาก

.. ดังนั่นในทางศาสนาสอนเรื่อง "มัชฌิมา" คือ 
การเดินทางสายกลาง ทุกเรื่องก็ให้ดูที่จุดประสงค์ 
ดูการกระทำของเขา เพราะทุก ๆ เรื่อง มันมีที่มา และ มีที่ไป มีเหตุ และ มีผล สองด้าน 

.. ต้องดูที่เหตุปัจจัยของทางสายกลางเท่านั้น 
จึงจะตัดสินได้อย่างยุติธรรม 

.. คนที่มองอะไรไม่มองสองด้าน ชอบ 
"ฟังความข้างเดียว" เป็นการไม่รู้จักว่าด้วย
หลักเหตุและผล 

.. ต้องเอาเหตุและผลขึ้นมาวางบนโต๊ะพูดจากัน 
จึงจะได้ข้อยุติที่เที่ยงธรรม 

.. จึงจะมองเห็นว่าความแท้จริงมันเป็นสองด้าน 
หรือว่าหลายด้าน หรืออาจจะมีเหตุปัจจัยภายนอกอย่างอื่นรวมอยู่ด้วย...?

ปล. ทุกเรื่องล้วนมีสองด้าน 
ไม่ว่าจะเป็น "ดี"  ชั่ว "ใช่"  ไม่ใช่ หรือ 
จะเป็น "เลว"  ดี  "ถูก"  ผิด "เพิ่ม"  ลด 
 "มี"  ไม่มี  ซึ่งทั่งหมดล้วนมีสองด้านเสมอ 

.. แล้วจะทำอย่างไรจึงจะมองออก ทั้งสองด้าน 
เรื่องนี้ต้องอาศัย "สติปัญญา" เท่านั้นจึงจะเข้าใจ..ฯ

จาก.. ลุงใหญ่
1 สิงหาคม 2557